Translate

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

ป่าฆ่าตัวตาย

ป่าฆ่าตัวตาย (Aokigahara)

                ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่มีอายุขัยเฉลี่ยสูงสุดของโลก แต่กระนั้นประเทศนี้ก็มีสถิตอีกอย่างที่ไม่ค่อยดีเหมือนกัน คือเป็นประเทศที่มีสถิตฆ่าตัวตายมาก คือจากสถิต ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตัวเลขคนฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2,645 คน เพิ่มจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วที่มียอดคนฆ่าตัวตาย 2,305 คน หรือเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 15
                ทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้กล้าฆ่าตัวตายได้แบบนี้ ก็อันเนื่องมาจากสังคมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากลัทธิบูชิโด (วิถีแห่งนักรบ) ซึ่งเชื่อ ว่า คนเราบริสุทธิ์จากความผิดได้ด้วยการฆ่าตัวตาย เช่น ฮาราคีรี ฯลฯ เมื่อฆ่าตัวตายแล้ว... ไม่ว่าความผิดอะไรก็จะได้รับการให้อภัยจากสังคม
                ส่วนสาเหตุที่คนญี่ปุ่นฆ่าตัวตายในยุคปัจจุบันก็มีหลายอย่าง ไล่ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่นโดนรังแก, อับอาย, พ่อแม่ไม่ใส่ใจ, หรือแม้กระทั้งโดนจับได้เพราะทุจริต และบุคคลที่ฆ่าตัวก็มีหลายช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้หญิง และตำแหน่งสูงหรือต่ำ ไปจนถึงอดีต ส.ส.
                ในปี2007 คนสูงอายุญี่ปุ่น (อายุมากกว่า 60 ปี) ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 9% ซึ่งกลายเป็นว่าสถิตคนที่ฆ่าตัวตายของญี่ปุ่นคือ “ผู้สูงอายุ” โดยคิดได้เป็น 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุที่คนสูงอายุฆ่าตัวตายมากขึ้นเป็นผลจากปัญหาเรื่องการเงิน โดยเฉพาะเงินบำนาญ หรือเงินออมที่ไม่พอใช้ นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ ทำให้เงินออมที่มีอยู่เดิมไม่พอใช้
                นอกจากนี้ยังมีสถิตที่น่าสนใจของการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นอีกหลายอย่าง เช่นผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิงเกือบสองเท่า, ผู้สูงอายุในโตเกียวที่อาศัยอยู่ตามลำพังมีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำกว่าผู้ที่อาศัยอยู่กับบุตรหลาน, กลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป สตรีจะฆ่าตัวตายถึงร้อยละ 70,ประเทศฮังการีเพียงประเทศเดียวที่สตรีสูงอายุ 65 ปีและ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าประเทศญี่ปุ่น คือ 56 ต่อ 39 ต่อประชากรแสนคน
                และอีกข้อมูลที่น่าสนใจคือสถานที่ชาวญี่ปุ่นนิยมไปฆ่าตัวตายที่สุด.......คือป่าอาโคคิกาฮาระ
                
                ป่าอาโคคิกาฮาระ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าจูไคซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกขานว่า “ป่าฆ่าตัวตาย”สถานที่แห่ง อยู่บริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ บริเวณทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิ มีพื้นที่ประมาณ 3000 เอเคอร์  ซึ่งเป็นจุดชมความงามของภูเขาฟูจิ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ลาวาได้สร้างลักษณะภูมิประเทศแปลกประหลาด มีถ้ำเล็กๆ หลายถ้ำ รวมทั้งแร่ธาตุจากภูเขาไฟทำให้ก่อกำเนิดพันธุ์พืชจนทึบไม่สามารถเข้าไปในส่วนลึกได้
                แน่นอนภูเขาไฟฟูจิถือว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ภูเขาที่แต่หิมะปกคลุมอยู่บนยอดเขา ที่สวยงามจนองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
                แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่คิดฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน โดยสถิตพบว่าสถานที่แห่งนี้มีคนมาฆ่าตัวตายเป็นอันดับ 2 ของโลก!!(อันดับหนึ่งคือสะพานโกลเด้นเกต(Golden Gate)
                ในสมัยก่อนนอกจากจะเป็นสถานที่ฆ่าตัวตายแล้ว ป่าอาโคคิกาฮาระยังเป็นสถานที่ซึ่งครอบครัวญี่ปุ่นที่มีฐานะการเงินฝืดเคียงไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้จะนำเด็กและคนแก่ หรือคนในครอบครัวมาปล่อยทิ้งในป่านี้เพื่อให้อดอาหารตาย
                บุคคลที่ตายในป่าแห่งนี้ก็มีหลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นชินจู(การฆ่าตัวตายของคู่รัก),โอยาโกะ(การฆ่าตัวตายหมู่ในครอบครัว),โอบาสึเตะ(การฆ่าตัวตายของผู้สูงอายุ)
                
                 จากข้อมูลสถิตพบว่า ในปี 1950 พบศพผู้เสียชีวิตในป่าแห่งนี้มากกว่า 500 คน เฉลี่ยแล้วมีผู้คิดสั้นในป่าแห่งนี้ราวปีละ 30 ราย ซึ่งในปี 2002ถือว่ามากที่สุดเกือบ 80 ราย จนกระทั้งเจ้าหน้าที่ต้องติดป้ายประกาศห้ามฆ่าตัวตาย และต้องมีส่งเจ้าหน้าที่หรือคณะค้นหาศพตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
                ป่าอาโคคิกาฮาระ มีชื่ออีกเรียกหนึ่งว่า “ทะเลป่า” The Sea of Trees เนื่องจากมีความเชื่อว่าป่าแห่งนี้มีวิญญาณต้นไม้ หรือโคดามะ อยู่ ซึ่งวิญญาณของต้นไม้จะดูดเอาพลังงานชีวิตจากผู้เสียชีวิตกลับคืนเป็นพลังแห่งป่า เพื่อต้านภัยธรรมชาติและต้านภัยของมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้ฆ่าตัวตายเชื่อว่าถ้าได้ตายในป่านี้จะทำประโยชน์ต่อป่าแห่งนี้ได้ ดีกว่าเอาฆ่าตัวตายแล้วไม่ได้อะไร
                มีตัวอย่างของคนฆ่าตัวตายคนหนึ่ง เป็นชายวัย 46 ปีที่ถูกปลดออกจากโรงงานเหล็กแห่งหนึ่งกลายเป็นคนล่าสุดที่หวังจะปลิดชีพตัวเองในป่านี้ โดยซื้อตั๋วรถเที่ยวเดียวมุ่งหน้าไปยังป่า ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงโตเกียว ก่อนจะลงมือเชือดข้อมือตัวเอง แต่แผลไม่ลึกพอที่จะทำให้สิ้นใจ ทำให้ชายผู้นี้ต้องทรมานอยู่ในป่าลึกหลายวันในสภาพร่างกายขาดน้ำ อาหาร และเนื้อเยื่อถูกทำลายจากสภาพอากาศเย็นจัด ก่อนจะมีผู้มาพบเข้า และช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ด้วยสภาพอากาศเย็นจัดทำให้ชายผู้นี้อาจเสียนิ้วเท้าขวาไปเพราะเนื้อเยื่อตาย
                ชายผู้นี้เผยว่าหลังจากที่ถูกปลดออกจากงานก็คิดว่าอนาคตที่เหลือนั้นมืดมน เนื่องจากขาดเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต และตกอยู่ในสภาพหนี้ท่วม รวมถึงไร้ที่อยู่เพราะต้องออกจากที่พักที่บริษัทจัดไว้ให้ด้วย
                นอกจากนี้ ก็ยังมีอิทธิพลจากนิยายเรื่อง “คุโรอิ จูไค(Kuroi Jukai)” รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง “คิโนะอุมิ” ที่นำเสนอเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งได้ฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้ ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับความนิยมใช้เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นอีก
                ปัจจุบันแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กีฬากลางแจ้ง ท่องป่า ตั้งแคมป์ แต่จากการที่คนมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวป่าแห่งนั้นก็พูดออกมาว่ามีบรรยากาศชวนหดหู่ มีป้ายเขียนข้อความเพื่อเตือนสติอย่างน่าหดหู่ ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรดีเลย แถมยังรู้สึกแปลกๆว่าถูกจ้องจากทุกที่ บางคนถึงกับบอกว่าเป็นที่ที่ทุกอย่าง ugly ทั้งที่อยู่ใกล้ธรรมชาติที่สวยงามอย่างภูเขาไฟฟูจิแท้ๆเป็นที่ปวดหัวกับผู้ส่งเสริมการท่องเที่ยวละแวกนั้นอีก พนักงานลูกจ้างแถวนั้นก็เล่าว่าสามารถมองดูแล้วบอกได้เลยว่าใครที่มาพำนักพักผ่อนชั่วคราว ส่วนใครจะมาพักผ่อนไปตลอดกาลไตร่ตรองดูใหม่อีกครั้ง ชีวิตของท่านเป็นสิ่งมีค่าที่พ่อแม่ให้มา อย่าเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว โปรดปรึกษากับคนอื่นก่อน"
                
                สุดท้ายก็คำพูดของรัฐมนตรีโคบายาชิที่กล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ครับ
                "We've got everything here that points to us being a death spot. Perhaps we should just promote ourselves as 'Suicide City' and encourage people to come here,"
                “ไหนๆ คนอื่นก็รู้กันทั่วแล้วว่านี้เป็นที่นิยมฆ่าตัวตาย เรามาโปรโฆตดีไหมให้คนมาท่องเที่ยวเยอะๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองซะเลย”

(เนื้อหาบางส่วนจาก ตำนานอาถรรพ์สยองผีญี่ปุ่น ของกฤษฏา กฤษณะเศรณี)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น