Translate

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

10อันดับสัตว์ประหลาดของโลก

ในบทนี้ไม่มีรูปนะ (ความจริงมีรูปอยู่แต่มันเน่า เอามาเสียเปล่า)
เนื้อหาอ้างอิงจาก
และเนื้อหาบางส่วนจาก
วิกิพีเดียไทย-อังกฤษ
                 10. The Giant Squid
 
            ปลาหมึกยักษ์มักเป็นสัตว์ประหลาดที่ปรากฏในมหากาพย์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน ภาพยนตร์ หรือนิยาย แต่ปลาหมึกตัวที่โด่งดังที่สุดปรากฏในนิยายเรื่องใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ (20,000 Leagues under the Sea) เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขียนโดยฌูล แวร์น ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1870
            โดยนวนิยายเรื่องดังกล่าว กล่าวถึง กัปตันนีโม กับเรือดำน้ำของเขา ชื่อ นอติลุส ผ่านมุมมองของศาสตราจารย์ปิแอร์ แอรอนแนกซ์ นักชีววิทยาผู้โดยสารไปกับเรือ เรือดำน้ำลำนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างลับๆ โดยหน่วยงานของรัฐบาล เรือดังกล่าวนั้นมีขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยในโลกยุคนั้น และเดินทางไปทั่วโลก จนกระทั้งถึงตอนที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิยาย คือตอนที่เรือดำน้ำถูกโจมตีโดย ปลาหมึกยักษ์ ลูกเรือต้องต่อสู้กับปลาหมึกยักษ์และเสียชีวิตไปหลายคน โดยปลาหมึกดังกล่าวมีขนาดใหญ่มากยาวหลายฟุต มีหนวดแต่ละหนวดยาวถึง 27 ฟุต และในขณะที่ต่อสู้กับมัน เจ้าปลาหมึกก็จับลูกเรือนอติลุสด้วยหนวดทำให้จมน้ำตายแล้วกิน
ในโลกแห่งความจริงนั้นปลาหมึกยักษ์สายพันธุ์ในภาพยนตร์นั้นมีอยู่จริง  โดยปลาหมึกบางตัวมีขนาดใหญ่พอๆ กับรถประจำทาง หนวดยาวประมาณ 30-40 เมตร18 นิ้วหรือฟุตครึ่ง หนัก 2-3 ตันโดยปลาหมึกชนิดนี้มักจะก้าวร้าวรุกราน และสามารถกินคนได้สบายๆ เลย ด้วยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสามารถบดเรือขนาดเล็กได้อย่างสบาย และมันมีงอยปากที่ใหญ่ที่สุดในสัตว์ทุกชนิดที่แข็งแรงพอที่จะสามารถกัดมือของมนุษย์ง่ายดาย มีนิสัยก้าวร้าวโดยหลักฐานการเผชิญหน้าระหว่างคนกับหมึกกยักษ์ในยุคหลังๆ จนครั้งล่าสุดในปี 1930 เรือบรันสวิค เรือบรรทุกน้ำหนักขนาด 15,000 ตัน ของนอร์เวย์มีรายงานการโจมตีเรือของเจ้าปลาหมึกชนิดดังกล่าวถึงสามครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปลาหมึกยักษ์ว่ายน้ำตามเรือบรรทุกน้ำมันก่อนที่จะหนวดรัดรอบๆ ตัวเรือ แต่รัดอยู่ไม่นานมันก็ลื่นไหลหนีเมื่อหนวดโดนใบพัดฟันลำตัวและหนวดจนแหลกเหลว มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุที่หมึกยักษ์ นี้โจมตีเข้า เพราะเรือของมนุษย์เราดันไปมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬอาหารหลักของเจ้าปลาหมึกนี่เอง(อร่อยเหรอ?)มีปากและงอยปากคล้ายนกแก้ว นัตย์ตายาว
 
                9. Minotaur
                
               มิโนทอร์เป็นสัตว์ประหลาดในเทพปกรณัมกรีก โดยเป็นสัตว์ประหลาดที่มีประวัติโศกนาฏกรรมที่น่าสงสาร ที่แฝงด้วยจิตใจด้านมืดของมนุษย์
                โดยประวัติของมิโนทอร์เล่าว่าราชาไมนอสแห่งเกาะคริตได้ขอร้องเทพแห่งมหาสมุทรโปไซดอนให้ส่งวัวพ่วงพีจากทะเลมาให้เขา เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าเขาเหมาะจะเป็นกษัตริย์ ซึ่งเทพโปเซดอรก็ทำตามคำขอร้องของเขาโดยส่งวัวขึ้นมาให้ตามที่ไมดาสขอ แต่มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องฆ่าวัวตัวนั้นเป็นการบูชายัญเพื่อเป็นการสรรเสริญเกียรติแห่งโปไซดอนทันที หากแต่ไมนอสไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ เขาไม่ฆ่าวัวดังกล่าว ทำให้โปไซดอนสาปให้ปาซิฟาอี มเหสีของไมนอสหลงรักวัวและสมสู่กับวัว(โดยสั้งให้แดดาลุส นักประดิษฐ์แห่งครีตสร้างแม่วัวปลอมขึ้นเพื่อตบตาเจ้าวัวหนุ่ม โดยนางจะเข้าไปในร่างแม่วัวปลอมตัวนี้ จะได้สมสู่กับวัวตัวนั้น) จนมีลูกตัวเป็นคนหัวเป็นวัว ทำให้ไมดาสอับอายมาก แต่ก็ฆ่ามันไม่ได้เพราะอาจสร้างความพิโรธแก่โปไซดอน
จากนั้นเป็นต้นมาชาวครีตพากันเรียกขานมันว่า มิโนทอร์ ซึ่งแปลว่า โอรสวัวแห่งไมนอส มันเป็นสัตว์ประหลาดเติบโตเร็วมาก จนเขามันมีขนาดใหญ่ยักษ์ และกลายเป็นสัตว์กระหายเลือด ชอบกินเนื้อคนเป็นอาหาร จนทำให้ไมดาสสั่งแดดาลุสให้สร้างคุกที่ไม่มีทางออกหรือก็คือเขาวงกตนั้นเองเพื่อกักขังมิโนทอร์เอาไว้ และในขณะเดียวกันเขาก็ให้อาหารแก่มิโนทอร์ด้วยการส่งชาวเอเธนส์ซึ่งเป็นหญิงสาวเจ็ดคนและชายหนุ่มเจ็ดคนในทุกปีให้แก่มิโนเทอร์กินเป็นอาหาร จนกระทั้งหลายปีต่อมามีชายคนหนึ่งชื่อ ธีสซูสพระโอรสของกษัตริย์แห่งเอเธนส์ ได้ขอให้ส่งตัวไปพร้อมกับเหยื่อเคราะห์ร้ายรุ่นใหม่ทีจะส่งไปสังเวยมิโนธอร์ ธีสซูสปบอกบิดาว่าหากเขารอดเขาจะกลับบ้านในเรือที่ติดใบสีขาว  และเมื่อเขาไปถึงเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากอรีแอดนีธิดาของไมนอสที่หลงรักเขา แล้วให้ด้ายใส่มือเขาไปเพื่อกันไม่ให้เขาหลงในเขาวงกตดังกล่าว และสุดท้ายก็สามารถฆ่ามิโนทอร์ได้ในที่สุด
แต่โศกนาฏกรรมไม่จบลงเท่านั้น หลังจากธีสซุสฆ่ามิโนทอร์ได้ เขากลับทิ้งอรีแอดนีหนีจากเกาะครีตกลับกรุงเอเธนส์ หากแต่ตอนกลับบ้านเขาลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับบิดาผู้ชรา ลืมเปลี่ยนใบเรือจากดำเป็นขาว บิดาของธีรซุสซึ่งเฝ้ารออยู่บนหน้าผาเมืองเอเธนส์ทุกวัน แลเห็นเรือใบสีดำแล่นเข้ามาแต่ไกลจึงเข้าใจผิดว่าลูกรักตายแล้ว จึงได้กระโดดลงจากผาฆ่าตัวตายตามลูกรักไป
            ปัจจุบันเขาวงกตของมิโนทอร์ยังคงอยู่ที่นั้น และมีการพบไหจำนวนมากเชื่อว่าอดีตเคยเป็นที่เก็บสมบัติ
 
8. Wendigo
  
เว็นดิโก้เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานของตำนานเก่าแก่ของอินเดียแดง โดยมีชื่อเรียกในแต่ละท้องถิ่นก็แตกต่างกันไป มีทั้ง วิติโก้ วิตติก้า วิตติเกา โวตากู้ โดยเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวเพราะมันชอบกินคน  รูปร่างของมันนั้นก็ยากจะสรุปให้แน่ชัด เพราะคนที่เหลือรอดมาเล่าขานให้การนั้นมีน้อยนัก เพียงประมาณความได้ว่ามันเป็นอสุรากายร่างใหญ่ยักษ์ชนิดที่มนุษย์คนใดได้เห็นต้องหวาดกลัวลนลาน ดวงตาโตดั่งนกฮูกสุกปลั่งอยู่ในเบ้าตาที่เป็นหลุมลึกเหมือนบ่อโลหิตสายตามันสามารถจับภาพไกลในความมืดได้เหนือกว่ารังสีอินฟราเรด ซี่ฟันแยงยันดั่งเขี้ยวเข็มแหลมคม แต่ไม่มีริมฝีปาก (สันนิษฐานว่าความหิวกระหายทำให้มันเขมือบขอบปากตัวเอง) ส่วนตีนของมันนั้นมาดว่าจะกุดด้วน เพราะถูกหิมะกัดกินจนเหี้ยมเตียน แต่มันก็ปรี่กระโจนได้กว้างไกลควบคู่กับการโฉบขึ้นสูงลิ่วดุจดั่งนกมีปีก โดยกรงเล็บสีเหลืองของมันนั้นพร้อมจะคว้าเหยื่อทะยานโยชน์ กัดกินและฉีกร่างมนุษย์ออกเป็นชิ้นๆ อาหารจานโปรดของมันคือผู้หญิงที่ผิวเนื้อบอบบาง และไขมันอันหวานนุ่มของเด็ก
                นอกเหนือจากนั้นเว็นดิโก้ยังเป็นชื่อของอาการทางจิตในชื่อ The Windigo Psychosis เป็นโรคจิตชนิดหนึ่งจัดในประเภท Depressive reaction ซึ่ง เกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมนั้นๆ โดยโรคนี้เกิดขึ้นกับอินเดียนแดงเผ่าแอลโกเลียน ในประเทศแคนาดา ซึ่งเกิดขึ้นกับชนหมู่มาก และอาการโรคตจิตชนิดนี้คือ “มีความรู้สึกอยากกินเนื้อมนุษย์” เพราะพวกเขาเชื่อว่าตนเองมีเว็นดิโก้มาเข้าฝันและสิงสู่ ทำให้พวกเขาเกิดอาการซึมเศร้าและหลงผิดว่าตนเป็นสัตว์ร้ายและอยากกินเนื้อคน ขึ้นมา ที่นี้เรามาคิดภาพดู ภาพที่สังคมอินเดียแดงเป็นโรคจิตนี้ทุกเผ่า จากนั้นพวกเขาก็มาไล่ฆ่าคุณอย่างบ้าคลั่ง จับคุณแล้วกัดคำใหญ่ๆ คุณร้องจ๊าก ตามด้วยมีดเชือดคอ เลือดพุ่งกระฉูด ตามด้วยมีดผ่าท้อง กินไส้ โอ้ นี้แหละคนบ้าของแท้ เพราะพวกเขาถูกเว็นดิโก้เข้าสิงนี้น่า
 
7. Pennywise the Dancing Clown
  
ตัวตลกนักเต้นรำเพนนีไวส์ เป็นสัตว์ประหลาดในรูปของตัวตลกที่น่ากลัวที่สุดในนิยายอมตะเรื่อง “มัน” ของนักเขียนสตีเฟ่น คิง ที่เขียนไว้ในปี 1986 ที่มีความหนาถึง 1142หน้า โดยเป็นเรื่องราวของเด็กเจ็ดคนในเมืองเดดอร์รี่ อเมริกาที่ถูกคุกคาม(หรือถูกสร้างบาดแผลทางใจ)โดยสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่ไม่มีชื่อ แต่หลายคนเรียกว่า “มัน” ที่ชอบกินมนุษย์(โดยเฉพาะเด็กๆ) โดยวิธีการล่าเหยื่อของมันคือมันจะเปลี่ยนรูปร่างได้ โดยจะเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่เด็กกลัว(ส่วนมากจะเป็นตัวตลกอ่ะนะ)  เพื่อมันจะได้จับเด็กกินเป็นอาหารได้สะดวก โดยมันจะหลอกล่อด้วยคำพูดที่แสนหอมหวานถ้าเด็กเผลอเมื่อไหร่มันจะจับกินเด็กทันที และมันจะออกมากินเด็กและทำเรื่องอะไรบางอย่างในเมืองนั้นทุก 30 ปี จนกระทั้ง มีเด็กกลุ่มหนึ่ง ได้ออกโรงต่อกรกับ "มัน" จนขับไล่มันไปได้ แต่แล้ว 30 ปีต่อมา "มัน" ก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้พวกเขาซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ต้องกลับมาเพื่อกำจัดมันให้ได้
นิยายเรื่อง “มัน” ดังกล่าวได้รัยรางวัลแฟนตาซีอังกฤษในปี 1987 และได้รับเสนอเข้าชิงแฟนตาซีโลกในปีเดียวกัน อีกทั้งยังได้รับติดอันดับว่าเป็นหนังสือขายดีที่สุดในอเมริกาประจำปี 1986 ว่ากันว่าเป็นหนังสือที่สตีเฟนคิงเขียนทุ่มเทเพื่อครอบครัวของเขาโดยเฉพาะ
 
6. Scylla & Charybdis
  
                ซิลล่าและวังน้ำวนคาริบดิสเป็นสัตว์ประหลาดทะเลในตำนานที่ปรากฏใน ตำนานของแกะทองคำ และนิยายกรีกโอดิสซิย์ของโฮเมอร์ โดยอาศัยอยู่ในช่องแคบเมสสซิมาระหว่างซิซิลี ประเทศอิตาลี โดยช่องแคบดังกล่าวมีวังน้ำวนขนาดใหญ่ที่เรียกว่าคาริบดิสที่เชี่ยวกราด ทำให้เรือลำใหญ่จมลงหลายลำ และหลายลำมักชนโขดหินชื่อซิลล่า ซึ่งส่วนมากชาวเรือมักหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณดังกล่าว
                หากแต่ในตำนานได้กล่าวว่า ในจุดดังกล่าวนั้นเป็นอดีตที่อยู่ของอสุรกายสองตัวก็คือว่าซิลล่าและวังน้ำวนคาริบดิสที่มีนิสัยดุร้ายกระหายเลือดชอบจับคนกินเป็นอาหาร โดยประวัติของซิลล่านั้นมีหลากหลายแต่ที่โด่งดังที่สุด เล่าว่ากันว่าอดีตเคยเป็นผู้หญิงที่สวยหยาดเยิ้ม(บ้างก็ว่าเป็นหลานหรืออนุภรรยาของโปไซดอน)เป็นที่ชอบของกลอคัสซึ่งเป็นเทพแห่งน้ำ แต่นางซิลล่าไม่หลงรักกลอคัส ทำให้เขาทุกข์ใจมากเลยปนึษาแม่มดเซอร์ซี หากแต่เซอร์ซีอิจฉาซิลล่าที่มีความสวยเธอจึงสาปให้เธอกลายเป็นสัตว์ประหลาดโดยใช้วิธีเอาสมุนไพรวิธีลงไปกวนในสระน้ำให้ซิลล่าใช้อาบ เมื่อนาลงไปในสระก็ถูกพิษกลับกลายเป็นอสุรกายสูงสิบสองฟุต มีหัวและคอถึง 6 หัวลำคอเหมือนงู หัวเหมือนสุนัข แต่เห่าเหมือนลูกหมา มีฟัน 3 แถว และมีขาถึง 12 ข้าง และเมื่อเธอกลายเป็นสัตว์ประหลาดเธอก็ตระเวนหาที่อยู่จนได้พบที่ซ่อนที่หน้าผาดังกล่าว และใช้ชิวิตอยู่ด้วยการจับปลาหรือสัตว์ทะเลชนิดอื่นเป็นอาหาร รวมทั้งดักเล่นงานเรือที่สัญจรผ่านไปมาทำให้มีเรือหลายรายพยามหลีกเลี่ยงซิลล่า หากแต่แม้เลี่ยงซิลล่าได้สำเร็จพวกเขาก็พบด่านของคาริบดีสอยู่อีกโดยอสุรกายตัวนี้ใช้วิธีดูดน้ำเข้าและคายน้ำออกจากช่องแคบให้เกิดวังวนวันละสามครั้ง ต่อมา เฮอร์คิวลิสได้ผ่านมาและได้ฆ่าซิลลา นางจึงกลับกลายเป็นโขดหิน ส่วนคาริบดีสยังคงอยู่ที่นั่นเพื่อทำภารกิจของมันก็คือการกลื่นน้ำในช่องแคบเข้าและคายออกทำให้เกิดวังน้ำวนวันละสามครั้งอยู่เหมือนเดิม
และคำ ว่าซิลล่าและวังน้ำวนคาริบดิสเป็นสำนวนสุภาษิตที่แปลว่าการเลือกทางเลือกสองทาง ที่แต่ละทางล้วนจบไม่สวยและเลวร้ายพอๆ กัน และถ้าเป็นคุณจะเลือกอะไรระหว่างซิลล่าหรือวังน้ำวนคาริบดิส
    
5. Fenrir
                  
หมาป่าเฟนรีร์ เป็นสัตว์ประหลาดในตำนานเทพเจ้าสแกนดิเนเวีย(Fenrir เป็นภาษานอร์สโบราณ หมายถึงผู้อาศัยในบึงเลน):เป็นหมาป่าขนาดมหึมา เป็นหนึ่งในบุตรของโลกิ และเป็นหนึ่งในลางบอกเหตุที่จะทำให้เกิดวันแร็กนาร็อก หมาป่าตนนี้เจริญเติบโตขึ้นทุกวันกลายเป็นหมาป่าที่ดุร้ายและมีกำลังมหาศาล โอดินจึงสั่งให้พันธนาการเฟนรีร์ไว้ด้วยริบบิ้นไกลพ์นิร์ของเหล่าคนแคระที่แข็งแกร่ง  เมื่อเหล่าเทพแอซิร์จะหลอกพันธนาการเฟนริร์ มันจึงรียกร้องให้เหล่าเทพพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจโดยการวางมือลงในปากของมัน ซึ่งเทพทิร์อาสาทำหน้าที่นี้ เมื่อเฟนริร์เห็นว่าตนเองโดนหลอกและไม่สามารถดิ้นหลุดจากโซ่ได้จึงกัดมือของทิร์ขาด จากคำทำนายในวันแร็กนาร็อก เฟนริร์จะหลุดออกมาได้ และสังหารโอดิน แต่ในเวลาต่อมาเฟนริร์จะถูกวีดาร์ หนึ่งในบุตรของโอดินสังหาร
หมาป่าเฟนริร์เป็นการสะท้อนความเชื่อ และความรู้สึกอย่างหนึ่งของชาวไวกิ้งที่มองเห็นเหล่าหมาป่าเป็นศัตรูเป็นปีศาจร้าย นอกเหนือจากเหล่ายักษ์น้ำแข็ง (หิมะและหน้าหนาว) และยักษ์เพลิง (ภูเขาไฟ)
 
4. Medusa
  
เมดูซ่า เป็นสัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีก ที่หลายคนรู้จักกันมากที่สุดในแง่ความน่ากลัวทั้งทางกายและจิตใจ โดยเมดูซ่าเป็นลูกสาวของเทพแห่งท้องทะเล ฟอซิส และนางซีโต นางถือเป็นหลานของเทพีไกอาและเทพพอนทัส มีพี่น้องคือ สเธโน ยูริอาลี และกราเอีย เล่ากันว่าครั้งหนึ่งเมดูซ่าเคยเป็นสาวงาม แต่เพราะโดนโพไซดอน เทพแห่งท้องทะเลขืนใจ ในวิหารของเทพีอธีนา เทพีอธีนาจึงกล่าวหาว่าเมดูซ่าลบหลู่นาง ดังนั้นนางจึงโดนสาปให้กลายเป็นหญิงอัปลักษณ์
เมดูซ่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ตัวเป็นผู้หญิงที่มีผมเป็นงู และเมื่อมีคนมองมาที่ใบหน้าเธอ (จ้องตา) คนผู้นั้นจะกลายเป็นหิน โดยนางอาศัยอยู่กับสองพี่น้องตระกูลกอร์กอน และมีเพียงเมดูซ่าเท่านั้นที่ไม่เป็นอมตะ คือถูกฆ่าตายได้ แต่นับเป็นเรื่องที่ยากที่จะมีใครทำได้โดยไม่กลายเป็นหินเสียก่อน ทั้งสามอาศัยอยู่ในถ้ำลึกบนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล ถ้ำนี้ล้อมรอบไปด้วยหินจำนวนมาก แต่สุดท้ายเมดูซ่าก็ตายโดยฝีมือวีรบุรุษเพอร์ซิอุสที่ได้รับคำสั่งจากกษัตริย์ใจร้ายที่พยายามหาทางกำจัดเขาเพื่อจะได้แต่งงานกับมารดาของเขา โดยให้ไปสังหารเมดูซ่าซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องของสามพี่น้องตระกูลกอร์กอน โดยใช้ดาบวิเศษตัดศีรษะของนาง แล้วโยนใส่ลงในย่ามวิเศษ และทันทีที่หยดเลือดหลั่งรินออกมาจากบาดแผลของเมดูซ่า เพกาซัส ม้ามีปีกสีขาวก็ถือกำเนิดขึ้นมา สองพี่น้องของเมดูซ่าซึ่งเป็นอมตะ พยายามจะทำร้ายเพอร์ซิอุส แต่เขาใช้หมวกล่องหนและรองเท้าติดปีกช่วยให้ตนเองหลบหลีกออกไปได้ เมื่อเพอร์ซิอุสกลับไปถึงเมืองของกษัตริย์ใจร้ายที่เป็นผู้มอบหมายให้ไปกำจัดเมดูซ่า เขามอบศีรษะของเมดูซ่าให้แก่กษัตริย์พระองค์นั้น ซึ่งทำให้พระองค์กลายเป็นหินไปในทันทีที่ทอดพระเนตร และในภายหลังเพอร์ซิอุสได้นำศีรษะของเมดูซ่าถวายแด่เทพีอธีนาไป
เมดูซ่านั้นมักปรากฏในโล่ของทหารชาวกรีก หรือศิลปะรูปปั้น สถาปัตยกรรมโรมันจำพวกประตูบ้าน ว่ากันว่ามันสามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆ นาๆ ได้
 
                3. Balrog
                 
บัลร็อกเป็นสัตว์ประหลาดที่ปรากฏในมหากาพย์นิยายเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ (The Lord of the Rings) แฟนตาซีขนาดยาว ประพันธ์โดยศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน  โดยแต่งเรื่องนี้ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1937 - 1949 และได้วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1954-1955 โดยแบ่งตีพิมพ์ออกเป็น 3 ตอน เนื่องจากหนังสือมีความยาวมากจนสำนักพิมพ์เห็นว่าไม่สามารถตีพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกันได้ นิยายเรื่องนี้ได้แปลไปเป็นภาษาต่างๆ มากมายไม่น้อยกว่า 38 ภาษา และได้รับยกย่องให้เป็นนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20
                โดยคำว่าบัลร็อก' เป็นภาษาซินดาริน คำเควนยาเรียกว่า วาลาเราโค (Valarauko) มีความหมายถึงสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ ผู้ควบคุมจิตวิญญาณแห่งไฟและเงามืด ตามปกรณัมกล่าวถึงบัลร็อกว่าเป็นจิตวิญญาณที่ทรงพลังอำนาจสูงยิ่ง บ้างก็ว่าบัลร็อกเป็น ไมอาร์ (เป็นชนเผ่าที่ถือกำเนิดมาจากพระเจ้าสูงสุดในนิยายเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ) กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นดวงจิตแห่งไฟ มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่แรกเริ่ม เดิมทีนั้นเป็นฝ่ายดีต่อมาถูกความชั่วร้าย เข้าครอบงำกลายเป็นฝ่ายอธรรม ต่อมาบัลร็อกก็ออกท้ารบทำสงครามกับพวกเอลฟ์มาตั้งแต่ และถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน  โดยฉากการปรากฏตัวของบัลร็อกที่หลายคนจดจำมากที่สุดอยู่ในเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ในชุดมหันตภัยแห่งแหวน เป็นฉากที่คณะพันธมิตรแห่งแหวนเดินเข้าไปในเหมืองมอเรียที่ซึ่งมีบัลร็อคอยู่ จนต้องเผชิญหน้ากับมัน โดยบัลร็อกเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีร่างกายหยาบ ร่างกายมีแต่เปลวไฟหรือความมืดคลุมกาย และมีอาวุธเป็นแส้ที่ทำด้วยเปลวไฟ โดยมีเพียงแกนดัล์ฟซึ่งเป็นไมอาร์เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับมันได้ หากแต่ตัวเขาต้องตกลงไปในหล่องเหวอันมืดมิดใต้มอเรีย  แต่กระนั้นเขาก็สามารถทำให้คณะพันธมิตรแห่งแหวนรอดพ้นมาได้  
               
2. Grendel
  
เกรนเดลเป็นสัตว์ประหลาดที่ปรากฏในบทกวีมหากาพย์เบวูลฟ์ที่แต่งโดยนักเขียนไม่ระบุชื่อ  แต่คาดว่าน่าจะเขียนราวปี 1010 มีความยาวทั้งสิ้น 3183 บรรทัด โดยเนื้อหาของบทกวีกล่าวถึงเบวูลพ์ที่สู้กับสัตว์ประหลาดสามตัว คือ เกรนเดล มารดาของเกรนเดล และมังกร และศึกสูกับมังกรเขาได้เสียชีวิตและศพของเขาถูกฝังในกีตส์แลนด์
บทกวีเบวูล์ฟ เริ่มต้นด้วยเรื่องราวของกษัตริย์ร็อดการ์ ในสแกนดิเนเวียผู้สร้างหอเมรัยขนาดใหญ่ริมน้ำชื่อ เฮร็อต สำหรับเป็นสโมสรของพลเมือง ทั้งองค์กษัตริย์ พระชายา และบรรดานักรบต่างพากันร้องรำทำเพลง เฉลิมฉลองอยู่ในหอเมรัย จนกระทั่งเกรนเดลสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบเดนนิส ที่ทนไม่ไหวกับเสียงดังดังกล่าว มันเลยแปรงร่างเป็นมนุษย์น่าเกลียดน่ากลัว และเข้ามาบุกทำลายหอเมรัย กับสังหารนักรบของร็อดการ์ระหว่างหลับเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก แต่เกรนเดลกลับไม่กล้าแตะต้องบัลลังก์แห่งร็อดการ์ ด้วยว่าองค์กษัตริย์นั้นได้รับการพิทักษ์จากเทพเจ้า แต่ร็อดการ์กับพลเมืองของพระองค์ก็จำต้องทิ้งหอเมรัยดังกล่าวนานถึง 12 ปี จนกระทั้งเบวูล์ฟซึ่งเป็นนักรบหนุ่มชาวกีตส์ เขาได้ยินเรื่องความวิบัติที่เกิดกับแผ่นดินของร็อดการ์ ต่อมาร็อดการ์ได้เชิญให้เขาเดินทางออกจากแผ่นดินของตนเพื่อมาช่วยเหลือ โดยเขาแล่นเรือมาถึงเดนมาร์กับพรรคพวกเพียง 14 คน พอมาถึงเบวูล์ฟกับนักรบของเขาค้างคืนในเฮร็อต หลังจากพวกเขาหลับไป เกรนเดลก็เข้ามาโจมตี และสังหารคนของเบวูล์ฟไปคนหนึ่ง เบวูล์ฟนั้นแสร้งหลับอยู่ จึงโจนขึ้นจับแขนของเกรนเดลไว้ ทั้งสองต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงจนหอเมรัยแทบถล่มทลาย นักรบของเบวูล์ฟชักดาบออกและเข้าไปช่วยเหลือ แต่ดาบของพวกเขาไม่อาจทำร้ายเกรนเดลได้เลย เพราะมันลงอาคมใส่ดาบของพวกมนุษย์ ในที่สุด เบวูล์ฟฉีกแขนของเกรนเดลหลุดจากร่าง ขาดจนถึงหัวไหล่ เกรนเดลหนีกลับไปยังรังของมันได้และเสียชีวิตลง
               คืนต่อมา มีการเฉลิมฉลองใหญ่ที่เบวูล์ฟสังหารเกรนเดลได้ แต่ปรากฏว่าคืนนั้นมารดาของเกรนเดลได้ปรากฏตัวขึ้นและเข้าทำลายหอเมรัยอีกเพื่อแก้แค้นเกรนเดล นางสังหารนักรบไปมาก ทำให้เบวูล์ฟ และเหล่านักรบ สะกดรอยตามมารดาของเกรนเดลไปจนถึงรังของนางซึ่งอยู่ใต้ทะเลสาบประหลาดแห่งหนึ่ง เบวูล์ฟเตรียมตัวเข้าไปรบกับนาง สุดท้ายเบวูล์ฟก็สามารถฆ่าแม่ของเกรนเดลมาได้ และเมื่อสำรวจลึกเข้าไปในถ้ำจนพบร่างของเกรนเดล ก็ตัดเอาศีรษะมันมาด้วยเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ
 
1. Jabberwocky
                 
แจ็บเบอร์ว็อกกีเป็นสัตว์ประหลาดจากบทโครงในงานประพันธ์เรื่อง Through the Looking-Glass ซึ่งเป็นบทกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภาษาอังกฤษ และ What Alice Found There ของลิวอิส แคร์รอลล์(Lewis Carroll) นักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงผู้เขียนเรื่อง อลิซผจญแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland) โดยแคร์รอลล์ใช้คำว่า “แจ็บเบอร์ว็อกกี” ซึ่งเป็นคำที่ไม่มีความหมายหรือมาจากรากศัพท์ใดๆ  ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผู้เขียนที่ชอบเล่นคำ ผสมคำใหม่ๆ ในนิยายของเขา โดยสัตว์ประหลาดดังกล่าวได้ถูกนิยามว่าเป็น “ฝันร้ายขนาดมหึมา” เพราะมันเป็นสัตว์ที่เป็นศูนย์รวมความน่าเกลียดน่ากลัวเอาไว้ ไว้ว่าจะเป็นลักษณะที่เหมือนมังกรโบราณ น้ำลายไหลยืด ไม่มีอาวุธใดๆ ทำอันตรายมันได้ ชอบกินมนุษย์ มันน่ากลัวมากหากล่าเหยื่อ จนทำให้ไม่มีใครคิดต่อกรกับมัน  โดยในภาพยนตร์เรื่องอลิซของทิม เบอร์ตัน แจ็บเบอร์ว็อกกีเป็นสมุนที่ซื่อสัตย์ของราชินีไพ่แดงที่สามารถกลายเป็นจอมเผด็จการในแดนมหัศจรรย์ในวันเดอร์แลนด์โดยสมบูรณ์ จนกระทั้งอลิซปรากฏตัวแล้วใช้ดาบวอร์พอลตัดหัวแจ็บเบอร์ว็อกกีตายไปในที่สุด
               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น