Translate

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

อีกาแห่งป้อมปราสาทลอนดอน

กาเรเวน(Raven)

                กาเป็นสัตว์ที่ฉลาด สีขนมันดำราวกับรัตติกาลบวกกับแววตาแวววาวดูลึกลับและเจ้าเล่ห์ บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของยมทูต มันเป็นสัญลักษณ์ของความตาย มันมีอำนาจชั่วร้ายแฝงกาย ยิ่งเป็นกาเรเวน(Raven) ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
                เรื่องราวคำสาปของอีกานั้นมีเรื่องเล่าอยู่เกือบทั่วโลก ในกรณีใหญ่และโด่งดังที่สุดคงจะไม่เกินไปกว่าราชวงศ์แฮปสเบิร์กส์ของออสเตรียที่รับเคราะห์กรรมเพราะกามาแล้ว
               
                มันเริ่มต้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11 ในตอนนั้นเคานต์แห่งอัลเตนเบิร์ก(Count v on Altenbourg)หรือชื่อจริงว่ากอนทราน-เลอ-ริซี่(Gontran-le-Riche) ปกครองดินแดนเล็กๆ ใกล้กับบริเวณแม่น้ำอาร์กับแม่น้ำไรน์บรรจบกัน วันหนึ่งเขาออกไปล่าสัตว์ในป่า แต่ตัวเองกลับถูกฝูงนกแร้งไล่ล่าจนได้รับอันตรายจนเกือบถึงชีวิต หากแต่มีฝูงนกกาเรเวนมาขัดขวางเอาไว้เขาจึงได้รอด ท่านเคานต์เป็นหนี้บุญคุณของกา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาได้เลี้ยงดูและปกป้องกา และได้สร้างหอคอนสังเกตการณ์ขึ้นบนเนินสูงที่ยื่นออกไปริมแม่น้ำ ตั้งชื่อว่า ฮาบิชต์สเบิร์ก(Habichtsburg) แปลว่าปราสาทนกแร้ง และชื่อนี้ได้กลายเป็นชื่อราชวงศ์ที่ท่านเคานต์สถาปราขึ้น คือราชวงศ์แฮปสเบิร์ก
                ในตอนแรกๆ สมาชิกราชวงศ์นี้ดูจะมีเป็นมิตรกับกาดี ปล่อยให้กาเรเวนสร้างรังทุกหนทุกแห่ง แต่ร้อยปีหลังจากนั้นที่กอนทรานสิ้นลม มิตรภาพราชวงศ์กับกาเรเวนก็มีอันสิ้นสุดลงตามไปด้วย อาร์คแอ็บบอต แวร์เนอร์ และรัดบอต อนุชาเป็นผู้ทะเยอทะยานได้เสริมสร้างหอคอนให้กลายเป็นปราสาทใหญ่มีเชิงเทินหอรบเพียบพร้อมเรียงรายไปตามเนินเขา และตั้งชื่อใหม่ว่า ชลอสส์ แฮปสเบิร์ก(Schloss Hapsburg) ส่วนพวกกาถูกขับไล่ไสส่ง ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอีกต่อไป เมื่อการู้สึกว่าพวกตนถูกละเมิดข้อตกลงจึงเริ่มหันมาทำร้ายผู้ที่อยู่ปราสาท และพวกแฮปสเบิร์กก็ตอบโต้ด้วยการเข่นฆ่ากาบ้าง จนกาเป็นฝ่ายแพ้ ชนิดที่เรียกว่าสองศตวรรษต่อมาไม่ปรากฏกาเรเวนเหลืออยู่ที่ชลอสส์ แฮปสเบิร์กอีกเลย เพราะพวกเขาฆ่าพวกมันจนหมดสิ้น
                
               แม้พวกแฮปสเบิร์กจะฆ่ากาหมดแล้วก็ตาม แต่มันตายแค่ตัว ส่วนวิญญาณนั้นไม่ได้ตายตาม ว่ากันว่าวิญญาณของกายังคงสิงอยู่ที่ปราสาทชลอสส์ แฮปสเบิร์กแห่งนั้น และทุกครั้งที่ออสเตเลียเข้าสงครามอีกาจะปรากฏตัวแทบทุกครั้งและนั้นหมายความว่าฝ่ายออสเจเลยต้องประสบความพ่ายแพ้
                นอกจากกาแล้วยังมีสุภาพสตรีในชุดขาว ที่ไม่มีใครทราบว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อนางปรากฏกายจะเกิดเหตุร้ายกับราชวงศ์ เหมือนเธอมาเตือนให้รู้ตัวล่วงหน้า ให้ทราบว่าไม่มีทางหนีซะตากรรมของตนได้
                
                คำสาปเริ่มต้นเมื่อปี 1854 ตอนนั้นจักรวรรดิออสเตเลียอันเก่าแก่ใกล้จะจุดจบ วันหนึ่งรถม้าและกองทหารเกียรติยศได้เดินทางไปตามถนนจากเมืองมิวนิคมุ่งไปยังเมืองอัชเชิล บนรถม้านั้นมีสุภาพสตรีสามนาง หนึ่งในจำนวนนั้นมี อาร์ชดัชเชล ลูโดวิกา(Archduchess Ludovica) พระชนิษฐาของกศัตริย์ลุดวิกแห่งบาวาเรีย กับพระธาอีกสององค์ องค์โตคือ เจ้าหญิงเฮลีน(Helene)ผู้ซึ่งกำลังเดินทางจะไปเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ แห่งออสเตรีย ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ พระธิดาองค์รองคือ เจ้าหญิงเอลิซเบธ หรือซีซี่ อาร์ชดัชเชสได้ที่ทราบว่ากาได้ไปปรากฏตัวที่ป้อมออลมุตซ์ พระนางก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ปรากฏตัวที่อัชเชิล
                เจ้าหญิงเฮลีนมิได้ทรงปรารถนาจะเป็นจักรพรรดินีแห่งออสเตรีย ดังนั้นพระองค์จึงตรัสพ้อพระมารดาตลอดทาง แต่พระนางลูโดวิกาก็มิได้สนพระทัยว่าพรธธิดาจะปรารถนาหรือไม่ ตราบใดที่ทำตามที่พระนางบอกเป็นใช้ได้ ความจริงเรื่องอภิเษกสมรสครั้งนี้พระนางลูโดวิกามิได้เป็นคนต้นคิด หากเป็นพระประสงค์ของอาร์ชดัชเชสโซเฟีย สมเด็กป้าของฟรานซ์ โจเซฟ ที่จะดึงแคว้นบาวาเรียเข้ามาช่วยพยุงฐานะของออสเตรีย เพราะใครๆ ก็รู้ว่าในตอนนั้น จักรรดิออสโตร-ฮังการีกำลังแย่ สงครามนโปเลียนที่ผ่านมาทำเอาออสเตรียแทบล้มละลาย
                ตรงกันข้ามกับเฮลีนที่กำลังโศกเศร้า ซีซี่ร่าเริงสนุกสนาน ทำให้พระนางลูโดวิกาต้องมองด้วยความสงสัยแล้วพอถึงอัชเชิลความคลางแคลงของพระนางก็กลายเป็นจริง ในเมื่อจักรพรรดิหนุ่มทรงเลือกซีซี่เป็นคู่อภิเษก ซึ่งเรื่องนี้สร้างความโกรธกริ้วให้กับอาร์ชดัชเชสโซเฟียเป็นอย่างมาก แต่พระนางก็มิอาจทำอะไรได้ งานอภิเษกมีขึ้นที่โบสถ์เซ็นต์ออกัสตินในกรุงเวียนนาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1854
                และบัดนี้ซีซีได้กลายเป็นจักรพรรดินีเอลิซเบธแห่งออสเตเรีย จักรพรรดิที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปในขณะนั้นไปแล้ว แต่อาร์ชดัชเชสโซเฟียก็จ้องทำลายชีวิตสมรสของจักรพรรดินีลงให้จงได้ พอซีซี่ประสูติพระโอรส พระนางโซเฟียก็แยกพระโอรสออกมาจากซีซี่ โดยอ้างว่าเพื่อจะเลี้ยงดูให้เหมาะสม พระนางจัดหาสาวชาววังที่สวยๆ มาคอยอยู่งานอภิบาลเด็กโดยหวังใช้สาวๆ เหล่านั้นดึงความสนพระทัยจากจักรพรรดิหนุ่มให้มาเสียจากซีซี่ ซึ่งก็ได้ผล ในไม่ช้าซีซี่ต้องรู้สึกทนทุกข์ทรมานถูกโดดเดี่ยว เพื่อคนเดียวที่พระองค์มีคือพระสนองพระโอษฐ์ชื่อ มาร์เกริต คัน ไลฟ์-โอเวน
                ในตอนนั้นก็มีข่าวลื่อในหมู่ชาววังว่าทั้งกาและสตรีในชุดขาวได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็น เพื่อหนีจากเรื่องซุบซิบและว้าเหว่ พระนางซีซี่ก็เลยหาเรื่องเสด็จประพาสประเทศต่างๆ ไปเรื่อยๆ มาร์เกริตเล่าว่าครั้งหนึ่งขณะที่ประพาสแคว้นบริตตาเนีย องค์จักรพรรดินีถูกเรียกให้กลับกรุงเวียนนาด่วน ทิ้งมาณืเกริตให้อยู่บริตตาเนียต่อจนจบกำหนดการ
                บ่ายวันหนึ่งขณะที่มาร์เกริตกำลังขี่ม้าเล่นอยู่แถวแหลมกีเบอรอน เธอได้เหลือบเห็นสตรีในชุดขาวกำลังยืนเซไปมาอยู่บนเงื้อมผา เธอดึงม้าให้หยุดจนมันหงกหลัง พอเธอตั้งหลักได้อีกหน หันกลัยไปดูที่เดิมก็ไม่เห็นสตรีนั้นเสียแล้ว
                คืนนั้น เธอเข้านอนดึกกว่าปกติ เพราะงานเต้นรำคฤหาสน์ เธอนอนได้ไม่นานก็ต้องตื่นขึ้น แล้วก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ตอนแรกคิดว่าเป้นเสียงตีของนาฬิกา แต่แล้วเสียงฝีก้าวเดนอย่างเร็วๆ แสงจันทร์ที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามาสว่างพอให้เธอมองเห็นร่างในชุดขาวเหมือนอย่างที่เธอเห็นเมื่อตอนบ่าย เพียงแต่ชัดกว่าสตรีนั้นชี้ให้ดูที่หน้าอก ซึ่งเธอมองเห็นโลหิตหลายหยดไหลออกมาจากบาดแผลรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ เธอนึกถึงจักรพรรดินีทันที
                มาร์เกริตรีบโทรเลขถึงจักรพรรดินีโดยด่วน และก็ได้รับโทรเลขตอบว่าพระนางสบายดี ระหว่างหลายปีมานี้พระนางก็ได้เห็นกาและสตรีในชุดขาวบ่อยๆ
                ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายต่อจักพรรดินี เหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับเจ้าชายรูดอล์ฟมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย พระราชโอรส ในคืนวันที่ 30 มกราคม 1898 มงกุฏราชกุมารรูดอล์ฟ ได้เสด็จไปพบศาน์เตสมาเรีย เวตเซรา คนรักของพระองค์ที่ตำหนักล่าสัตว์ในป่าเมเยอลิ่ง ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าไม่มีโอกาสอภิเษกกัน เพราะฝ่ายหญิงแม้จะเคาน์เตสแต่ก็เป็นสามัญชน  ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าทางออกมีทางเดียวเท่านั้นคือ การฆ่าตัวตาย
                และไม่กี่ชั่วโมงต่อมานานาชาติก็ตกตะลึงเมื่อทราบข่าวว่าพระมกุฎราชกุมารรูดอลฟ์ ใช้พระแสงปืนยิงมาเรียและยิงพระองค์ตายตาม
                
                ถึงตอนนี้จักรพรรดินีเริ่มเสด็จประพาสถี่ขึ้น และสุภาพสตรีในชุดขาวก็ดูเหมือนจะปรากฏตัวถี่ขึ้นเช่นกัน ในคืนครบรอบ 40 ปีการอภิเษกสมรสของพระนางเมื่อปี 1989 ที่ปราสาทฮอฟเบิร์กที่อยู่ติดกับโบสถ์ที่เคยจัดพิธีอภิเษก ทหารยามผู้หนึ่งด้เห็นสตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวถือไฟสำหรับจุดเทียน เธอหันแบะเดินกลับไปทางเดินเข้าไปในห้องสวดมนต์ ทหารยามผู้นั้นตามเธอไปและบอกยามคนอื่นๆ ให้รู้ตัว พวกทหารยามช่วยกันค้นหาจนทั่วทั้งตึกแต่ก็ไม่มีวี่แววของสตรีผู้นั้น ในคืนเดียวกันก็มีผู้พบเห็นสตรีในชุดขาวที่ปราสาทเชินบรุนน์เช่นกัน เพียงแต่เป็นคนละเวลา
                และในเช้าวันศุกร์อีกห้าเดือนต่อมาขณะที่จักรพรรดินีนีเอลิซเบธประทับพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่ที่เฉลียงโรงแรมแกรด์โฮเต็ล เมืองโซกซ์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระนางทอดพระเนตรลงไปแลเห็นสตรีแต่งขาวจ้องมองอย่างประสงค์ร้าย พระนางจึงร้องให้คนช่วย พวกเจ้าหน้าที่ช่วยกันค้นหาจนทั่วก็ไม่พบตัว ตกค่ำนั้นพระนางออกมาที่เฉลี่ยงก็เห็นสตรีคนเดิมอีกแต่คราวนี้มานั่งอยู่ใกล้ๆ พระนางตกพระทัยร้องให้คนช่วย และคราวนี้ก็เช่นกันไม่มีผู้ใดพบสตรีผู้นั้น
                วันที่ 9 กันยายน ซึ่งก็เพียงไม่กี่วัดถัดมา ตอนนั้นพระนางประทับชมทิวทัศน์อยู่ที่แตรีเตบนเทือกเขาแอลป์กับ มร.เบเกอร์ พนักงานถวายอักษรชาวอังกฤษซึ่งนำตะกร้าผลไม้มาถวาย แล้วขณะที่ มร.เบเกอร์กำลังอ่านคอร์ลีโอเน่ ซึ่งเป็นนวนิยายเกี่ยวกับพวกมาเฟียที่พยายามปลงพระชนม์พวกเจ้านายถวายอยู่นั้น พระนางก็ตัดผลท้อซีกหนึ่งให้ มร.เบเกอร์ แต่ยังมิทันได้ส่งก็เห็นนกกาเรเวนตัวใหญ่ถลาลงจากต้นสยมาบินวนรอบพระเศียร ปลายปีกของมันปัดท้อพลันหลุดจากพระหัตถ์ มร.เบเกอร์ตกใจมากเพราะเขารู้ว่าหมายถึงถึงอะไร
                บ่ายวันรุ่งขึ้น พระจักรพรรดินีเสด็จออกจากโฮเต็ลที่ประทับในกรุงเจนีวาเพื่อจะประทับเรือล่องขึ้นไปตามทะเลสาปเจนีวา มีเคานเตสส์สตาเรย์ นางสนองพระโอษฐ์โดยเสด็จไปด้วย พอไปถึงท่าเรือก็ได้ยินเสียงระฆังเรือเคานเตสส์จึงรีบขึ้นหน้าไปก่อนหมายจะไปบอกพวกเจ้าหน้าที่มิให้ยกสะพานออก ทิ้งจักรพรรดินีไว้ลำพัง ทันใดนั้นก็มีชายผู้หนึ่งวิ่งตรงเข้าไปใช้เหล็กหมาดเย็บรองเท้าแทงเข้าที่พระอุระ และหนีไป  ก่อนที่ใครๆ จะรู้ตัวแต่ก็ถูกจับได้ภายหลัง จึงรู้ว่าเป็นชาวอิตาเลียนชื่อลุยจี ลุกเกนี เป็นพวกอนาธิปไตย ส่วนองค์จักรพรรดินีมีผู้ช่วยประคองไว้มิให้ล้ม ตอนแรกคิดว่าพระองค์แค่ถูกล้วงกระเป๋าเท่านั้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินต่อ ลงไปประทับเรือไม่นานก็ทรงเป็นลมแน่นิ่งหมดสติ และเมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่งก็พบว่าพระองค์ถูกแทงทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใกล้พระองค์ตอนอประทับบนเรือ หมอมิอาจช่วยอะไรได้ พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโลหิตตกใน(และจนกลายเป็นหนึ่งคดีห้องปิดตายที่ผมลงไปแล้ว)
                อ่านที่ http://writer.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=329
                เหล็กหมาดได้ทำให้เกิดบาดแผลรูปสามเหลี่ยมเล็กและมีโลหิตอูดออกมาเพียงเล็กน้อย ตรงกับที่มาร์เกริต คัน ไลฟ์-โอเวน เห็นที่บริตตานีเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด
                
               กากับซะตากรรมของราชวงศ์แฮมสเบิร์กไม่จบเพียงแค่นี้ เมื่อตอนเจ้าชายแม็กซิเลียน(Emperador Maximiliano I) พระอนุชาของจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ และชาล็อตต์ พระมเหสี เดินทางออกจากยุโรปเพื่อไปปกครองเม็กซิโกนั้น ก็ได้มีกาเรเวนตัวหนึ่งบินลงมาเกาะบนหลังตู้เบกี้รถไฟที่เจ้าหญิงชาล็อตประทับ ต่อมาไม่นานแม็กซิมิเลียมก็ถูกฝ่ายปฏิวัติจับสำเร็จโทษ ส่วนพระนางชาล็อตต์ก็เสียพระจริต
                แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปนี้
                ไฟล์:Franzferdinand sophie sarajevo.jpg
                ฟรานซ์ เฟอร์ดินานFranz Ferdinand Karl Ludwig Joseph von Habsburg-Lothringen) พระนัดดาจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ทรงรักอยู่กับเคานเตสส์โซฟี โชแตก (
                แล้ววันหนึ่งในเดือนมิถุนายน 1914 ขณะที่เจ้าหญิงโซฟีประทับรถพระที่นั่งไปตามถนนในกรุงเวียนนาโดยมีฝูงชนออดูกันตลอดสองข้างทางนั้น พระองค์ก็ได้เห็นฝูงกาบินวนอยู่เหนือท้องฟ้า เจ้าหญิงรู้ว่านี้คือลางไม่ดีเลยยกเลิกหมายกำหนดการทั้งหมด รีบเสด็จไปเมืองโกโนปิชต์ในแคว้นโบฮีเมียโดยด่วน พอถึงก็ตรงไปพบพระสวามีที่กำลังประชุมอยู่กับพวกนายทหาร เจ้าหญิงทรงขอร้องให้พระสวามียกเลิกการเสด็จเยือนเมืองซาราเยโวเสีย
                แต่อาร์ชดยุคเฟอร์ดินานมิอาจทำได้ เพราะบอสเนียกำลังก่อกบฏ พระองค์จำเป็นต้องไปปรากฏตัวพระองค์เพื่อปลุกใจฝ่ายที่สนับสนุนนออสเตรียก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป อีกทั้งพระองค์ก็ไม่เชื่อเรื่องกา
               
                เมื่อขอร้องไม่สำเร็จ เจ้าหญิงเลยตามเสด็จไปด้วย แล้วในขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับรถที่นั่งสีแดงเปิดประทุนไปตามถนนในเมืองซาราเยโวนั่นเอง ก็มีพวกปฏิวัติโยนระเบิดเข้าใส่ แต่ทั้งสองพระองค์มิได้รับอันตราย แม้จะตกพระทัยอยู่บ้าง แต่ก็ทรงให้ไปต่อ และเมื่อรถขับเข้าถนนรูดอร์ฟ ทั้งสองก็ถูกนักศึกษาหนุ่มหัวอนาธิปไตยชื่อ เกบริล ปรินซิป ใช้ปืนยิง ทั้งสองสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
                เหตุการณ์ครั้งนั้นได้กลายเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในเวลาต่อมา ที่เป็นเหตุทำให้คนต้องล้มตายหลายล้านคน และทำให้จักรวรรดิราชวงศ์แฮปสเบิร์กต้องพบจุดจบ ความแค้นของอีกาได้ชำระสำเร็จลุล่วงแล้ว
                
                คำสาปอีกาที่โด่งดังอีกเรื่องคืออีกาที่หอคอยลอนดอน (Tower of London) ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!
                เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร  ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะคะ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลาถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน

จากต่วยตูน 
http://www.youtube.com/watch?v=0a0mT1udjZU
   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น