Translate

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

นางเงือก 2

                                           
สำหรับการบันทึกเกี่ยวกับ “นางเงือก” มักมีการถูกบันทึกทุกยุคสมัย ไม่เหมือนคำบอกเล่าทั่วๆ แต่มีหลายเรื่องเหมือนกันที่เรื่องออกมาเหมือนตำนานมากกว่า
               
                เช่น
 
                ค.ศ.558 ในไอร์แลนด์เหนือ มีชาวประมงออกไปหาปลาแห่งหนึ่ง ซึ่งที่แห่งนั้นชาวประมงมักได้ยินเสียงร้องเพลงดังมาจากใต้ผิวน้ำบริเวณกลางทะเลสาบ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ทำให้ชาวประมงต่างพามาจุดนั้นแล้วใช้อวนล้อมเอาไว้ ผลคือมีเด็กหญิงรูปร่างประหลาดติดมาด้วย
                เด็กคนนั้นมีผมยาวสยายสีเขียวเข้ม ผิวกายออกสีเขียวอ่อน ระหว่างนิ้วมือมีเยื่อหรือพังผืดบางๆ ขึงอยู่ระหว่างนิ้วต่อนิ้ว ส่วนร่างกายท่อนล่างมีลักษณะคล้ายปลาแต่ไม่มีเกล็ด มีขนเส้นละเอียดอ่อนสีชมพูขึ้นอยู่เต็มท่อนหาง
                ชาวประมงได้นำเด็กหญิงเงือกนี้มาขังไว้ในถังน้ำขนาดใหญ่ใส่น้ำจนเต็มเพื่อให้คนอื่นได้ดูกัน และตั้งชื่อเด็กหญิงเงือกนี้ว่า “เมอร์แกน” ซึ่งหมายความว่า “เกิดในทะเล” จากนั้นเงือกตนนั้นก็เข้าไปอยู่ในมือของนักบวชเพื่อโปรดศีลและล้างบาปทางพิธีกรรมศาสนาทุกอย่าง
                จากนั้นสักระยะหนึ่งเมอร์แกนก็พูดภาษามนุษย์ได้ จับความได้ว่า เธออายุ 300 ร้อยปี ชื่อเดมของเธอคือ “ลีบัน” ตอนแรกเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาต่อมาครอบครับของเธอประสบอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิตหมด  เหลือแต่เธอที่รอดมาได้และเมื่อเวลาหนึ่งปี ร่างกายของลีบันเริ่มเปลี่ยนสภาพที่ละน้อยจนกลายเป็นเงือกในที่สุด
                และเมื่อเธอสิ้นชีวิตลง ผู้คนต่างยกย่องนามเธอว่า “เซนต์เมอร์แกน” ทั้งนี้เพราะหลังจากที่เธอเสียชีวิต วิญญาณของเธอได้แสดงปรากฏการณ์มหัศจรรย์แก่สายตาผู้คนใน ณ ที่นั้น
                                                             (นางเงือกในการ์ตูน)
ซากเงือกที่วัดเมียวชิMyouchi Temple
 
ศตวรรษที่ 17 ปี ค.ศ. 1403 มีเงือกตัวหนึ่งลอยมาติดค้างอยู่ชายหาดซึ่งเป็นชายเลนใกล้กับเมืองอีแดน ประเทศฮอลันดา ชาวบ้านไปพบแล้วนำตัวมาที่หมู่บ้าน ชาวบ้านช่วยล้างตัวเอาโคลนตมเธอออก จนร่างกายสะอาดหมดจด
นางเงือกรายนี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างสุขสบายนานถึง 15 ปี จึงเสียชีวิตลง
ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกับคน เงือกตัวนี้ไม่สามารถพูดจาภาษามนุษย์ได้แม้แต่คำเดียว และหลังจากเสียชีวิตแล้วเจ้าอาวาสได้ฝังร่างนั้นไว้ในสุสานของวัดตามประเพณีคริสต์ศาสนิกชน
 
อีกเรื่องหนึ่ง นักเขียนชาวโรมันชื่อ พลีนีย์ ได้บันทึกไว้ว่า นายทหารคนหนึ่งของพระเจ้าซีซาร์ออกัสตัสได้พบนางเงือกจำนวนมากมายถูกกระแสคลื่นพัดขึ้นติดค้างบนหาดทรายฝั่งประเทศกอลหรือฝรั่งเศส
 
ในยุคกลาง มีตระกูลหนึ่งในฝรั่งเศสถูกกล่าวหาว่ามีความสัมพันธ์กับนางเงือก โดยตระกูลท่านเคานต์แห่งบัวติเอร์ ถูกกล่าวหาว่า ชายหนุ่มในตระกูลชื่อเรย์มอนต์ได้ภรรยาชื่อเมซูลิน สาวสวยที่สวยประหลาด มีนิสัยสงบเสงี่ยมเจียมตัวเรียบร้อย ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขจนกระทั้งเธอกำเนิดบุตรขึ้นมาคนหนึ่ง
ในช่วงเวลานี้เองเกิดเหตุร้ายขึ้นมา เมื่อคนในตระกูลสงสัยตัวภรรยาของเรย์มอนต์ว่าเธอไม่ใช้มนุษย์ เพราะทุกวันเสาร์ทุกสัปดาห์เธอจะขออนุญาตสามีอยู่ในห้องน้ำตามลำพังทั้งวัน ทำให้มีผู้คนนินทามากขึ้น จนเข้าหูเรย์มอนต์บ่อยครั้ง จนเขาเกิดความเคลือบแคลงในตัวภรรยาขึ้น
วันหนึ่งเป็นวันเสาร์ เรย์มอนต์จับตาดูเมซูลินอยู่เงียบๆ พอเห็นเธอหายเข้าไปในห้องอาบน้ำ เขาจึงแอบดูที่รูกุญแจประตู ก็เห็นภรรยากำลังอยู่ในอ่างน้ำ มีร่างกายท่อนร่างเป็นปลา พอรู้ว่าภรรยาเป็นนางเงือก เรย์มอนต์ก็ตกใจอย่างมากและร้องโวยวายขึ้นมา ทำให้เมซูลินเสียใจมาก เธอเลยหนีออกทางหน้าต่างและก็ไม่ย้อนกลับมาอีกเลย
มีเรื่องเล่ากันว่าเมซูลินยังห่วงใยลูกอยู่ ซึ่งมีบางครั้งตอนกลางคืนเธอจะลอบเข้าบ้านของเรย์มอนต์เพื่อให้นมลูกกิน พี่เลี้ยงเด็กยืนยันว่าเห็นนางเงือกเมซูลินที่ร่างกายเป็นปลากำลังส่ายเปลให้ลูกอยู่
  กัปตันเฮนรี่ ฮัตสันได้บันทึกเรื่องราวการพบเห็นนางเงือกเอาไว้อย่างละเอียดโดยลูกเรือสองคนที่กำลังแล่นเรือขนส่งท่องทะเลหลวง
“……..ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังแล่นเรือจากทิศเหนือตัดไปทางทิศตะวันตก ลูกเรือคนหนึ่งของเราได้พบนางเงือกตัวหนึ่ง ลูกเรือเรียกเพื่อนอีกคนมาดูสัตว์ประหลาดที่กำลังเล่นคลื่นลอยใกล้เรือเข้ามาทุกที ขณะเดียวกันเงือกตัวนั้นดูเหมือนสนใจเรือขนาดใหญ่และลูกเรือสองคนนั้นก็ตกใจและจ้องดูนางเงือกนั้นมันมีขนาดเท่ากับคนธรรมดา ตรงหน้าท้องเห็นสะดือชัดเจน หน้าอกมีเต้าสองเต้าแบบเดียวกับผู้หญิง และผิวกายซีดเผือก ท่อนหางคล้ายกับหางปลาโลกมา มีเกล็ดซ้อนกันถี่ยิบ บนเกล็ดแต่ละเกลียดมีจุด้วย....”
 
 
ซากเงือกที่วัดเมียวชิMyouchi Temple
 
ต่อมาในศตวรรษที่ 19 ข่าวคราวการพบ “มนุษย์เงือก” เกิดขึ้นอีกอีกหลายครั้ง และมักพบเห็นในท้องทะเลซึ่งเป็นน่านน้ำของสก็อตแลนด์ทั้งสิ้น แต่ข่าวเหล่านั้นยังขาดหลักฐานน่าเชื่อถือ
 
นอกจากในยุโรปแล้วบันทึกการพบเงือกนั้นก็พบในแถบน่านน้ำญี่ปุ่นและเกาหลีด้วยนะครับ
ที่ญี่ปุ่นแน่นอนมันเป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมาย เรียงรายนับร้อยเกาะ ทอดตัวยาวลงมา โดยฟากหนึ่งนั้นเบี่ยงไปทางเกาหลี จีน และรัสเซีย และอีกฟากทอดตัวไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกนับได้หลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเงือกมากมายตั้งแต่สมัยเฮอันเคียวลงมาจนกระทั่งในยุคเฮเซหรือสมัยปัจจุบัน
ที่ฟูกูโอกะ FUKUOKA นั้นมีวัดริวกุ หรือวัดนางเงือกอันมีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่าทุกๆปีจะมีการเปิดให้คนเข้าชมหีบที่บรรจุกระดูกเงือก โดยผู้เฒ่าผู้แก่แถบนั้นต่างพูดถึงเงือกในลักษณะที่ว่า เงือกนั้นมักอาศัยอยู่แถบช่องแคบเกาหลี และเรื่อยมาจนถึงด้านเหนือสุดของเกาะคิวชู ที่วัดริวกุ RYUKU เราจะพบจารึกโบราณที่เขียนว่า “ เมื่อศักราชที่ 1222 จับเงือกได้หนึ่งตัว ชะรอยมันตายจึงได้ฝังไว้ในเขตคามแห่งวัดอูกินิโดะ นับว่าเป็นศุภสัญญาณมงคลว่าจักรวรรดิเราจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ เชื่อกันว่าเงือกตัวนี้มาจากริวกุ วังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ดังนั้นแล้วไซร้วัดแห่งนี้จึงได้มงคลนามใหม่ไหม่ว่า วัดริวกุ ฯ ”
 
 
จากจารึกดังกล่าว เราจะเห็นว่า ความเชื่อเรื่องนิรันดร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงือกโดยตรง เนื่องจากชาวอาทิตย์อุทัยเชื่อแต่เดิมว่าหากผู้ไดได้กินเนื้อนางเงือกจะมีชีวิตที่อมตะ ดั่งเรื่องเล่าเก่าของนครเฮอันเคียว HEANKYO หรือเกียวโต KYOTO ในปัจจุบันว่าเมื่อก่อนนครเฮอันเคียวจะสร้างได้นั้น ในสมัยพระจักรพรรดิมิคาโดะ MIKADO ทรงมีพระบัญชาให้พระชายาของพระอนุชาซาวาระเสวยเนื้อนางเงือกเพื่อให้เป็นอมตะ เพื่อปกป้องนครเฮอันเคียวแห่งใหม่จากผีร้ายทั้งหลาย ฯ และอีกเรื่องราว ก็เล่าเกี่ยวกับแม่ชี เบคุนิว่า... เมื่อเธอยังเป็นหญิงสาวเธอได้ช่วยชีวิตนางเงือกเอาไว้ นางเงือกซาบซึ้งในเมตตาจึงได้มอบเนื้อเงือกให้และบอกว่าเป็นของวิเศษ.....หากแม้นใครได้กินจะไม่แก่เฒ่า เมื่อเธอกินเข้าไปก็เป็นไปตามนั่นหากแต่นางได้เป็นอมตะไปด้วย........... แต่ ของจากอมนุษย์ย่อมเหมือนดาบสองคม เพราะคนรอบข้างนางทุกๆคนต่างตายไปตามอายุขัย เหลือแต่นางเพียงคนเดียว...นางจึงทนไม่ได้จึงไปบวชเป็นชีมีชื่อว่า เบคุนิ
 
 
ซากเงือกที่วัดคารุคายาโดะ Karukayado Temple
 
ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ฟูกุโอกะยังบอกว่าอันที่จริงแล้วเงือกนั้นมีสองขาหากแต่ปลายเท้าเป็นพังผืด ขานั่นชิดติดกันอย่างพิสดาร ผิว่าจะงอได้เหมือนขาคนพิการก็ไม่ปาน จะชิดกันตลอดเวลา และจะไม่สามารถยืนขึ้นได้ มือนั้นเรียวยาว แขนยาว ลีบ เป็นพังผืดและมีใบหน้าคล้ายคนที่หน้าบี้ บี้แบนไปทางด้านข้างหรือจะว่าแบนข้าง มองเผินๆอาจกระเดียดไปทางหัวปลาก็ว่าได้ เมื่อชาวประมงจับได้ พอเอามาวางไว้บนเรือมันจะทำท่าแปลก ขู่เสียงดังเป็นเสียงวิ้ด ๆๆๆ ฟังดูคล้ายเสียงพวกอสุรกายก็ไม่ปาน ชาวประมงถือว่าเป็นลางไม่ดีหูจะหนวกเอาได้ หากแต่แท้จริงแล้วมันกำลังจะขาดใจตาย สุดท้ายชาวประมงก็มักจะพากันแตกตื่นและทิ้งเงือกลงทะเลเพราะกลัวความซวยจากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล .... ชาวประมงยังเชื่ออีกว่าเนื้อเงือกนั้นแท้จริงมันหาได้ทำให้เป็นอมตะ แต่จะนำพาให้คนกินเป็นผีตายซากที่ไม่มีวันตายเสียมากกว่า จะพุดๆไปก็อาจจะทำนองซอมบี้อะไรเสียประมาณนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ยังเล่าว่าวันดีคืนดีช่วงหัวค่ำที่น้ำขึ้นในวันแรมหากมีเด็กไปเล่นน้ำ ก็อาจจะถูกดึงไปต่อหน้าต่อตาพ่อแม่ เห็นมิชัดนักหากรู้แต่ว่าเป็นมือลีบๆดังคนพิการหรืออะไรที่น่ากลัวดึงเด็กลงไป
และเมื่อผ่านไปสักยาม เมื่อชาวบ้านที่ต่างพากันหาศพนั้น จะพบว่าศพจะลอยมาเพียงแต่มีรอยแผลที่ท้อง.......เครื่องในนั้นหายไปสิ้น ทำเอาพ่อแม่เด็กลมใส่ป่วยการไปหลายวันทีเดียว
 
แล้วตกลงเงือกคืออะไรกันแน่
 
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง
อย่างไรก็ตามหากจะนำเรื่องราวที่อิงธรรมชาติมาอ้างนั้น ในแถบชองแคบเกาหลีและทะเลญี่ปุ่นไม่พบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีเค้าอย่างพะยูนหรือแมวน้ำหรือวัวทะเลเลย แต่ในอีกทฤษฎีหนึ่งหากเราจะตัดเอาทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดออกไปและการแต่งเติมจากปากต่อปากออกไปโดยพยายามมองให้เป็นเรื่องที่ของธรรมชาตินั่นเป็นไปได้ อาจเกิดมาจากการที่ชาวประมงในยุคก่อนได้พบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ยังวิวัฒนาการไม่สมบูรณ์หรือสัตว์ต่างถิ่นที่กระเดียดไปทางพะยูนหรือวัวทะเล และที่สำคัญการได้พบสัตว์สายพันธ์ใหม่ในท้องทะเลลึก หรือปลาทะเลน้ำลึกก็เป็นได้
ส่วนที่ว่าเนื้อเงือกเมื่อกินไปจะมีอาการออกไปทางเหมือนผีตายซากมากกว่าการเป็นอมตะนั้น เป็นไปได้ทีเดียวที่เนื้อของสัตว์ทะเลบางชนิดจะมีพิษที่ทำให้คนเป็นอมพาตได้หรือเป็นสารที่ช่วยในการรักษาศพมากกว่า อาจจะด้วยองค์ประกอบของเกลือที่ฝังในเนื้ออย่างเข้มข้นด้วยว่าสารนั้นอาจช่วยยืดอายุศพได้ เราจึงไม่อาจสรุปได้ว่าสิ่งไดควรเชื่อหรือไม่ แต่มีข้อคิดที่น่าสนใจที่ว่าทะเลนั้นยังคงเป็นที่ที่มนุษย์รู้จักน้อยกว่าดวงจันทร์เสียอีกเพราะด้วยการสำรวจทะเลอันกว้างใหญ่และพิสดารลึกลับที่แทบจะไม่มีวันทำได้ทั่วถึงนั่นเอง

                พะยูน

                พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (อันดับ Sirenia) ชนิดเดียวเท่านั้น ที่กินพืชเป็น อาหาร เมื่อ Christopher Columbus เห็นมันใน ทะเลเป็นครั้งแรก เขาคิดว่า มันคือนางเงือก ทั้งนี้เพราะมันมีหน้า "เหมือน" คน ที่มีรูปร่างกลมเหมือนไส้กรอก ริมฝีปากของมันมีขน ขึ้นประปราย ตามีขนาดเล็ก และหางเป็นครีบเหมือนปลา มันไม่มีหู และลำตัวมีความยาวตั้งแต่ 2.5-4.5 เมตร พะยูนที่หนักมากที่สุด อาจหนักถึง 100 กิโลกรัม
ปัจจุบันนี้ เราสามารถพบเห็นฝูงพะยูนจำนวนมากอาศัยอยู่ในทะเล Caribbean เม็กซิโก บราซิล แอฟริกาตะวันตก และ West Indies ในอดีตโลกเคยมีพะยูนใน ทะเลทุกหนแห่ง แต่เมื่อมันถูกนักล่าปลาวาฬล่าเนื้อมันไปเป็นอาหาร การสูญพันธุ์ ของพะยูนในทะเลเช่น ทะเล Bering จึงเกิดขึ้น
ตามปกติพะยูนชอบกินหญ้าทะเล และผักตบ เวลามันกินหญ้ามันใช้ครีบข้างลำตัวป้อนหญ้าเข้าปาก พะยูนกินอาหารจุโดยมันจะกินหญ้า ประมาณ 5-10% ของน้ำหนักตัวทุกวัน เมื่อมีอายุได้ 4 ปี มันก็โตเต็มที่และพร้อมที่จะสืบพันธุ์ โดยพะยูนตัวผู้จะว่ายน้ำติดตามเกี้ยว พาราสีตัวเมียนาน จนตัวเมียเห็นใจหรือใจอ่อน หลังจากตั้งท้องนาน 14 เดือน พะยูนตัวเมียก็จะคลอดลูกคราวละตัว และถึงแม้ตัวเมีย หนึ่งตัวจะมีสัมพันธ์กับตัวผู้หลายตัวในเวลาเดียวกัน มันก็ไม่ตั้งครรภ์บ่อย ในทุก 2-3 ปี มันจึงให้กำเนิดพะยูนน้องครั้งหนึ่ง ยามปกติมันมี นิสัยขี้เล่นคล้ายสุนัข และชอบว่ายน้ำแทะเล็มลำตัวของเพื่อนมัน ด้วยความเร็วประมาณ 3-6 กิโลเมตร/ชั่วโมง และในทุก 10-15 นาที มันจึงโผล่พ้นน้ำขึ้นมาหายใจอากาศครั้งหนึ่ง แต่เวลาใดที่มันรู้สึกมีอันตรายมาคุกคามชีวิตของมัน มันจะสะบัดหางไปมาอย่างรวดเร็ว เพื่อว่ายน้ำหนีภัย
                การที่คนเราเห็นพะยูนเป็นเงือกนั้น อาจเป็นได้ว่าถ้าเรามองพะยูนไกลๆ จะเห็นเป็นเหมือนเงือก เพราะพะยูนเป็นที่ชอบกินสาหร่าย ดังนั้นจึงมักสาหร่ายปนอยู่ตามลำตัวไปหมด ทำให้เหมือนเส้นผมผู้หญิง อีกทั้งเสียงของมันก็คล้ายกับเสียงคนร้องเพลงทำให้หลายคนเข้าใจผิดได้
                
                ไม่เชื่อก็ดูรูปถ่ายพะยูนจากที่ไกลๆ สิ
               

 
                ซากปลอม
                แน่นอนใครอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นก็รู้ดีว่าซากเงือกในญี่ปุ่นในวัดเป็นของปลอม วัดของญี่ปุ่นนี้ไม่เหมือนวัดไทยนะครับ เพราะวัดญี่ปุ่นมันก็เหมือนธุรกิจอย่างหนึ่ง โดยมีเงินบริจาคเป็นรายได้หลัก ทางวัดเลยต้องหาอะไรแปลกๆ เพื่อดึงดูดจากผู้บริจาคทั้งหลายโดยใช้ซากเงือกปลอมนี้แหละครับ
                วิธีทำซากปลอมก็ง่าย เอาซากลิงท่อนบนต่อกับท่อนล่างซึ่งเป็นซากปลาจากนั้นก็เชื่อมต่อด้วยเทคนิคพิเศษก็ได้แล้ว ถ้าเราเอาซากนี้ไปตรวจก็รู้ทันที แน่นอนครับทางวัดก็ไม่ให้ไปตรวจสิ ขืนตรวจว่าเป็นของปลอมก็หมดความน่าเชื่อถือสิ
 
 
 
ต่วยตูนฉบับ เดือนพฤษภาคม2008 http://board.palungjit.com/showthread.php?t=131645
แปลก Specal Magazinl ฉบับที่1642 สิงหาคม 2550
                                                               ที่มา(http://my.dekd.com/pond/story/view.php?id=376491)

                    (นางเงือกในการ์ตูน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น