Translate

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

จีนหนาวจัด น้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง

สภาพอากาศที่หนาวเย็นในจีน ทำให้บางพื้นที่เกิดพายุหิมะตกหนัก เป็นอุปสรรคต่อเที่ยวบินนับร้อยเที่ยว อุณหภูมิที่ติดลบทำให้แหล่งน้ำกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง


อย่างเช่น บริเวณหุบเขาจุ้ยซาย ในเขตจิ่วไจ้โกว  มณฑลเสฉวน สายน้ำที่ตกจากโขดหินถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง   ก่อตัวเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งคาดว่า ต้องรอจนถึงปลายเดือนมีนาคม หรือ ต้นเดือนเมษายน กว่าน้ำแข็งจะละลาย และน้ำตกจะกลับมางดงามได้เหมือนเดิม



ทั้งนี้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาจีน ระบุว่า อุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงติดลบ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากแนวความหนาวเย็นจากขั้วโลกเหนือเคลื่อนตัวลงมาทางใต้  จึงทำให้บางพื้นที่ หนาวที่สุดในรอบหลายๆปีทีเดียว





ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_21.html#ixzz2J42yWyGU
ขอบคุณครับที่ใส่เครดิต

พบวัตถุลึกลับบินโผล่เหนือผิวดวงจันทร์





สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มนุษย์กำลังค้นหาว่า บนดวงจันทร์ หรือดาวอื่นๆ นั้นประกอบไปด้วยแหล่งน้ำ และสิ่งมีชีวิตที่จะเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีพหรือไม่

คลิปวีดิโอที่อัพโหลดโดยผู้ใช้ที่ชื่อว่า danchek2013 ในเว็บไซต์ยูทูป อ้างว่า พบวัตถุลึกลับบินเหนือบริเวณพื้นผิวดวงจันทร์  โดยยานดังกล่าวปรากฏจากเงามืดก่อนจะเห็นเคลื่อนที่อย่างชัดเจน ด้วยการเร่งความเร็วพร้อมกับเปลี่ยนทิศทางอย่างกระทันหัน นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นกลุ่มควัน คล้ายกับเครื่องบิน แต่ไม่สามารถระบุแน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่



บ้างก็ว่าเป็นนก ดาวหาง หรือยานจากดาวอื่นๆ เพราะการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเช่นนี้ ไม่น่าจะใช่ยานของมวลมนุษย์ หรือสัตว์สิ่งมีชีวิต และบางส่วนก็มองว่า เป็นการสร้างคอมพิวเตอร์กราฟิกขึ้นมาเท่านั้น












ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_537.html#ixzz2J41Uq3wi

อีก12ปีข้างหน้าได้ "ฮัลโหล"กับมนุษย์ต่างดาวแน่



ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจานบินชั้นนำประกาศว่า จะคอยให้มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุ ยักษ์ที่สุดเสร็จลงภายในเวลา 12 ปีเสียก่อน มนุษย์ก็จะได้พบปะหน้าค่าตามนุษย์ต่างดาวกันอย่างแน่นอน

เขาบอกว่า ขณะนี้กำลังจะมีการสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดยักษ์มูลค่า 6.5 พันล้านบาท หากเสร็จเมื่อใด ก็จะสามารถตอบปัญหาที่ชาวโลกอยากรู้ อย่างเช่นว่า มีมนุษย์ต่างดาวอยู่หรือไม่ เพราะกล้องยักษ์นี้จะช่วยเปิดหนทางใหม่และน่าตื่นเต้นให้ “เชื่อว่าจะต้องได้พบปะเห็นกันแน่ภายในปี พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นกำหนดที่กล้องโทรทรรศน์ยักษ์แล้วเสร็จ”

โดยจะลงมือสร้างกล้องในปี พ.ศ.2559 นี้ ประกอบด้วยจาน เสาอากาศเรือนพันต้นตั้งอยู่ในพื้นที่กว้าง 4,921 ตร.กม.ของท้องถิ่นกันดารของออสเตรเลีย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันจะสามารถทำให้มองเห็นจักรวาลได้ไกลลึกเข้าไปอย่างที่กล้อง โทรทรรศน์ธรรมดาไม่อาจทำได้ อย่างเช่นมีกำลังขยายถึง 50 เท่า และกวาดมองฟ้าได้เร็วขึ้นกว่ากล้องโทรทรรศน์ต่างๆถึง 10,000 เท่า “ถ้าหากมีอารยธรรมอยู่ภายในระยะไกลไม่เกิน 100 ปีแสง จะต้องพานพบจนได้”.





ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/12.html#ixzz2J40gWpfm

ค้นพบสิ่งมีชีวิตนอกโลก ในอุกาบาต





10 มกราคม 2013 นักวิทยาศาสตร์ Chandra Wickramasinghe ออกมาเปิดเผยข้อมูล ในวารสารจักรวาลวิทยา (Journal of Cosmology)


จากอุกกาบาตที่ตกเมื่อ 29 เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นหลักฐานยืนยันอีกชิ้นของสิ่งมีชีวิตต่างดาว




Chandra Wickramasinghe




ก่อนหน้านี้เดือนธันวาคม มีลูกไฟลึกลับ ปรากฏบนท้องฟ้าาเหนือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่เมืองธนามัลวิลา
หลายคนเชื่อว่า แสงประหลาดที่พบเห็นอยู่บนท้องฟ้าอาจเป็นวัตถุบินของสิ่งมีชีวิตนอกโลก (UFO)




ศรีลังกาแตกตื่น! พบแสงปริศนาบนท้องฟ้า เชื่อเป็น UFO








 ที่มาhttp://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/polonnaruwa.html#ixzz2J3zcct1E 

นาซ่าพบหลักฐาน ทะเลสาบโบราณบนดาวอังคาร







สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) เปิดเผยว่า ยานอวกาศสหรัฐ “มาร์ส รีคอนเนสซองซ์ ออร์บิทเตอร์”(เอ็มอาร์โอ) ที่โคจรรอบดาวอังคารพบหลักฐาน  หลุมทะเลสาบโบราณที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำใต้ดิน





ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า หลักฐานใหม่ที่พบ ช่วยบ่งบอกประวัติศาสตร์ยุคแรกของดาวอังคารได้อย่างดี   โดยข้อมูลที่ส่งมาจากยานอวกาศสำรวจดาวอังคาร(เอ็มอาร์โอ) แสดงร่องรอยของสารคาร์บอเนต และดินในหลุมแมคลาฟลิน ที่มีความลึกประมาณ 2.2 กิโลเมตร

ทำให้เชื่อว่า หลุมนี้เคยเป็นทะเลสาบมาก่อน และอาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ด้วย
โดยเทียบเคียงกับสภาพแวดล้อมบนโลกที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต และเห็นการสะสมตัวของดินยุคเก่าแก่ที่สุดของผิวดาวอังคาร



โดยนายริช ซูเร็ค นักวิทยาศาสตร์ของยานเอ็มอาร์โอ ระบุว่า การค้นพบครั้งล่าสุดบ่งชี้ว่า ดาวอังคารมีความซับซ้อนมากกว่าที่คาดไว้ และในบางพื้นที่น่าจะมีการเผยสัญญาณของสิ่งมีชีวิตโบราณ ส่วนยานคิวริออสซิติอีกลำของนาซ่าได้สำรวจพื้นผิวบนดาวอังคาร นับตั้งแต่ลงจอดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมปีที่แล้ว เพื่อเก็บตัวอย่างหินต่างๆ พร้อมกับส่งภาพกลับมายังพื้นโลก



ก่อนหน้า Nasa ได้เปิดเผย ภาพใหม่อันน่าอัศจรรย์ ของแม่น้ำบนดาวอังคาร

โครงสร้างลักษณะของแม่น้ำ ความกว้าง 4 ไมล์ (6.4 กิโลเมตร)
ยาว 900 ไมล์ (1440 กิโลเมตร) และลึก 400 เมตร 







ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_22.html#ixzz2J3xSM57c

สัตว์ประหลาดที่มีตราประทับ


 




สัตว์ประหลาดที่มีตราประทับ คาดว่าจะเป็นสัตว์ทดลองทางพันธุวิศวกรรม  มันมีหางอ้วนใหญ่ และมีขาเล็กๆ หลายขาด้วย
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=64YB1xgphMc

นาซ่าเตือน"ดวงอาทิตย์ปล่อยสารโคโรนา"มหาศาลพุ่งใส่โลกในอีก3วัน ระบบสื่ิสาร-ไฟฟ้า อาจมีปัญหา





สำนักงานบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ว่า เกิดอนุภาคพลังงานสูงจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากโคโรนาของดวงอาทิตย์ เมื่อช่วงเช้าวันพุธ (23) ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีก้อนมวลสารโคโรนา (ซีเอ็มอี ) จำนวนมหาศาลจากดวงอาทิตย์ กำลังมุ่งหน้ามายังโลกของเราด้วยความเร็วสูง และคาดว่าจะถึงชั้นบรรยากาศของโลกภายใน 1 ถึง 3 วันข้างหน้า

ข้อมูลขององค์การนาซาและองค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) ระบุตรงกันว่า ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์พ่นมวลโคโรนาที่เกิดขึ้นส่งผลให้มวลสารดังกล่าวพุ่งกระจายออกมาจากดวงอาทิตย์ และกำลังเคลื่อนตัวมุ่งหน้ามายังโลกของเราด้วยความเร็วประมาณ “375 ไมล์ต่อวินาที” โดยคาดว่าจะเดินทางมาถึงยังชั้นบรรยากาศของโลกของเราภายใน 24-72 ชั่วโมงข้างหน้านี้ พร้อมเตือนประเทศต่างๆ เตรียมหาทางรับมือ

ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงอาทิตย์ของนาซาระบุว่า ซีเอ็มอีซึ่งเกิดจากอนุภาคพลังงานสูงจำนวนมากที่พุ่งออกมาจากโคโรนาของดวงอาทิตย์นั้น สามารถเทียบได้กับระเบิดปรมาณูที่กองทัพสหรัฐฯใช้ทำลายเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นับแสนล้านลูก


ทั้งนี้ เมื่อซีเอ็มอีเคลื่อนตัวพุ่งเข้ามาปะทะกับชั้น “แมกนีโทสเฟียร์” ซึ่งเป็นชั้นสนามแม่เหล็กโลก จะส่งผลให้เส้นแรงแม่เหล็กของโลกเกิดการยุบตัวลง และอาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “พายุแม่เหล็กโลก” ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ระบบส่งกำลังไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้าบนพื้นโลกอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และอาจทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่หลายส่วนของโลก นอกจากนั้น พลังงานจากซีเอ็มอี ยังสามารถทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนดาวเทียม หรือยานสำรวจอวกาศต่างๆ ได้เช่นเดียวกับระบบนำทาง “จีพีเอส”



 : ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/3.html#ixzz2J3vC9YOC 

เดอะ ฟลายอิ้ง ดัตช์แมนเรือปีศาจ

ตำนาน เรือปิศาจ Flying Dutchman



เมื่อพูดถึงเรือปิศาจ หรือ เรือผีสิง ที่ขึ้นชื่อว่าโด่งดังที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องของ เรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน Flying Dutchman ("De Vliegende Hollander") ตามตำนานว่ากันว่าเป็นเรือผีสิงที่ต้องท่องไปในน่านน้ำไม่มีวันสิ้นสุด หรือไม่ก็จนกว่าโลกจะแตกไปข้างหนึ่ง วันดีคืนดีอาจมาปรากฏให้นักเดินทะเลสยองเล่นๆ ตามน่านน้ำต่างๆ ในรูปของเรือสำเภาสามใบเสา และกัปตันผู้ซึ่งยังแต่งกายในแบบศตวรรษเก่า ยกตัวอย่างก็เมื่อปี ค.ศ. 1892 ที่อ่าวเวสตัน ในเท็กซัส มีผู้เห็นเรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน ถึงสองครั้ง เป็นเรือที่มีแสงเรืองน่ากลัว ที่หัวเรือมีกัปตันเรือยืนอยู่ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว กรีดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งชวนขนลุก



เรือ Flying Dutchman หรือมีชื่อเรียกในภาษาดัชท์คือ "De Vliegende Hollander" เป็นเรือปิศาจที่พบเห็นได้มากที่สุดในบริเวณแหลมกู๊ดโฮบ Cape of Good Hope ทวีปอัพฟริกาใต้ เรื่องเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เรือ Flying Dutchman เป็นเรือของบริษัท Dutch East India Company เป็นเรือบรรทุกสินค้าอยู่ภายใต้การควบคุมของกัปตันเรือ van der Decken ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดและไม่นับถือพระเจ้า ในปี ค.ศ. 1680 ได้เดินทางไปถึงดินแดนทางตะวันออกซึ่งสมัยนั้นถือว่าไกลมาก ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี และกำลังนำเรือกลับประเทศฮอลแลนด์เมืองบ้านเกิด ขณะแล่นผ่านมาถึงบริเวณแหลมกู๊ดโฮบ ได้เกิดพายุขนาดใหญ่ขึ้น เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้ถูกพายุพัดถล่มอย่างหนัก หลังจากที่เรือต่อสู้กับพายุได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงจนเรือออกไปนอกเส้นทาง เดินเรือและกระแทกหินโสโครกจมลงหายไปพร้อมกับชีวิตคนบนเรือทั้งหมด ทุกคนเชื่อว่าพระเป็นเจ้าได้พิพากษาลงโทษกัปตันและเรือลำนั้นด้วยพายุที่ เกิดขึ้นลูกนั้น เล่ากันว่า ระหว่างที่อยู่ในพายุนั้นกัปตัน van der Decken ซึ่งไม่ยอมแพ้ต่อพายุได้ตะโกนขึ้นว่า "I will round this Cape even if I have to keep sailing until doomsday! ( ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวันสิ้นสุดของโลกก็ตาม )

ได้มีตำนาน เล่าขานต่อมาว่าเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้กลับมาปรากฏตัวให้คนเห็นหลายๆ ครั้ง อย่างเช่นในปี ค.ศ. 1881 คนประจำเรือของ เจ้าชายจอรจ์ Prince George (ต่อมาเจ้าชายจอรจ์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ใช้พระนามว่าพระเจ้าจอร์จ์ที่ 5) ได้มองเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนปรากฎตัวขึ้นด้านหัวเรือ และหลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็เสียชีวิตด้วยการพลัดตกจนเสากระโดงเรือ ในปี ค.ศ. 1881 เช่นกัน มีเรือสินค้าชาติสวีเดนลำหนึ่งแล่นผ่านบริเวณที่เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนจม ทันทีที่คนประจำเรือบนเสากระโดงได้เห็น เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน ปรากฎตัวขึ้น เขาก็พลัดตกจากเสากระโดงเรือลงมาตาย ก่อนตายเขาได้พูดว่าเขาได้เห็น เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน กัปตันเรือได้ส่งคนประจำเรือคนที่สองปีนขึ้นเสากระโดงเพื่อขึ้นไปดูและเขาก็ เสียชีวิตในสองวันต่อมา หลายปีต่อมามีเรือสัญชาติอเมริกาแล่นผ่านเข้ามาในบริเวณแหลมกู๊ดโฮป เรือลำนี้ชื่อ Relentless และพบกับเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน กัปตันเรือได้ออกคำสั่งให้นายท้ายเรือหันหัวเรือไปยังเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนเพื่อเข้าไปดูให้เห็นชัดขึ้น แต่นายท้ายเรือก็ไม่ได้หันหัวเรือไปตามคำสั่ง กัปตันไปดูกลับพบนายท้ายเรือนอนตายอยู่ที่พังงาถือท้ายเรือ และในคืนนั้นยังพบว่าคนประจำเรือสามคนได้หายตัวไปจากเรืออีกด้วย



ยังมีตำนานเล่าขานถึงการปรากฏตัวเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนอีกว่า ในปี ค.ศ. 1911โดยเรือชื่อ Orkney Belle เป็นผู้พบเห็นขณะเดินทางข้ามแหลมกู๊ดโฮป ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 มีคนมากกว่า 60 คนเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแล่นออกจากชายหาดผ่านพวกเขาไปและวิ่งหายไปในความมืดของทะเล ปี ค.ศ. 1942 ผู้บังคับการเรือดำน้ำ U boats พลเรือตรี Karl Doenitz แห่งราชนาวีเยอรมัน ได้บันทึกในปูมเรือว่าพบเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแล่นผ่านเรือของเขาไป และในปี ค.ศ. 1942 เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้ถูกพบโดยเรือรบหลวง H.M.S. Jubilee ผู้บังคับการเรือ Nicholas Monsarrat ได้พบและพยายามส่งสัญญาณไปยังเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแต่ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบกลับมา เขาได้บันทึกไว้ในปูมเรือว่าพบเรือใบไม่ทราบประเภทชั้นเรือแล่นผ่านไปภายใต้ สภาวะที่ไม่มีกระแสลมพัดอยู่เลย ในปี ค.ศ. 1943 คนจำนวน 4 คนในเมือง Cape Town ได้เห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแล่นหายไปทางด้านหลังของเกาะ ในปี ค.ศ. 1959 กัปตันเรือ Staat Magelhaen พบว่าเรือกำลังมุ่งหน้าพุ่งเข้าชนกับเรืออีกลำหนึ่ง เรือลำนั้นก็คือเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน แต่พอเรือเข้าใกล้จะชนปรากฏว่าเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้หายตัวไป และยังมีอีกหลายครั้งที่เกิดพายุใหญ่บริเวณประภาคาร Cape light house มีบันทึกรายงานว่าได้พบเจอเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนมาปรากฎให้เห็น (เมือง Cape Town สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 17 โดย Jan van Riebeeck ตัวแทนของบริษัท Dutch East India Company เหตุที่สร้าง Cape Town ขึ้นมา เพราะมีแผนจะแยกแหลม Cape ออกจากทวีปแอฟริกาด้วยการขุดคลองตัดผ่านคาบสมุทร แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมยุติแผนดังกล่าว ปัจจุบันจึงมีเพียงแนวป่าต้นอัลมอนด์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามแยกตัวในครั้งนั้นหลงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์)


การปรากฏตัวของ เรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน

ตามตำนาน ยังกล่าวกันว่า เรือลำนี้มีตำนานมาจากเรื่องเล่าสองเรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องของผีและกัปตันที่มีชื่อว่า แวนเดอเดคเคน (Captain Van Der Decken) ซึ่งเป็นคนที่นอกจากจะไม่นับถือพระเจ้าแล้วยังลบหลู่อย่างร้ายกาจอีกด้วย ส่วนเรื่องที่สองเป็นของนักเดินเรือที่ชื่อว่า เบอร์นาร์ด โฟคค์ คนนี้ทำสัญญากับปิศาจว่าจะยอมอยู่ในอาณัติของมันหากช่วยให้เขาเดินทางไปถึง อีสต์อินดีส์ใน 90 วัน สองเรื่องที่ว่าเชื่อกันว่าเป็นเหตุให้เรือและกัปตันต้องระหกระเหินไปทั่ว ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไปชั่วกาลนิรันดร.....

อย่าเพิ่งคิดว่าจะมีแค่ เรื่องของเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนเท่านั้น ยังมีอีกเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง

เรื่อง นี้เป็นเรื่องของเรือล่าปลาวาฬอเมริกันชื่อ จอร์จ เฮนรี่ ซึ่งกำลังมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ออกเดินทางตามหาคณะเดินทางเคราะห์ร้ายนำโดย เซอร์ จอร์น แฟรงคลิน ที่หายไปจากเส้นทางสู่ขั้วโลกอย่างไร้ร่องรอย แต่ว่าภารกิจนี้เรือจอร์จ เฮนรี่ไม่ได้มาเพียงลำเดียว ยังมีเรืออีกลำชื่อว่า เรือเรสคิว ตามมาเป็นเรือบรรทุกสัมภาระด้วย เรื่องของเรื่องมันก็อยู่ที่เรือลำนี้แหละ เพราะว่าเรือเรสคิวเป็นเรือประหลาดหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรืออัปมงคลก็ ว่าได้ เมื่อออกเดินทางทุกครั้ง ก็จะต้องลงเอยด้วยการมีคนตายอย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ



คืนวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1860 เรือทั้งสองลำจอดทอดสมอหลบพายุอยู่ที่อ่าวโฟรบิสเชอร์ เกาะแบฟฟิน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พายุก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดกำลังลง กลับเพิ่มแรงลมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกัปตันฮอลล์ กัปตันเรือของจอร์จ เฮนรี่ตัดสินใจสั่งให้ถ่ายลูกเรือเรสคิวมาขึ้นเรือของเขาให้หมด นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะเพียงชั่วอึดใจต่อจากนั้น สมอเรือของเรสคิวถูกแรงกระแสน้ำลากออกจากที่ ค่อยๆ ลอยเข้าหาฝั่งที่น้ำทะเลกระแทกหินอย่างรุนแรง ดูเหมือนจะมีอำนาจบางอย่างที่พยายามดึง เรือเรสคิว เอาไว้ไม่ให้เข้ากระแทกหินโสโครกชายฝั่งง่ายดายเกินไป แต่กระนั้น เรือเรสคิว ซึ่งไร้คนบังคับก็ต้องพ่ายต่อแรงธรรมชาติในอีกหลายชั่วโมงต่อมา มันถูกคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำหนุนให้เรือพุ่งเข้าหากองหินอย่างแรงจนไม้กราบ เรือฉีก หิมะซึ่งโปรยปรายต่อมาหลังจากนั้นดูราวกับผ้าห่อศพก็ไม่ปาน



เช้าวันต่อมา เรือเรสคิว หายไป เป็นไปได้ว่าอาจถูกหิมะถมทับจนหายไปสนิท แต่ลูกเรือหลายคนก็เชื่อว่ามันโดนคลื่นลมพาเข้ากระแทกกับหินจนแหลกเป็นชิ้น เล็กชิ้นน้อย เรือจอร์จ เฮนรี่ต้องเดินต่อไปลำเดียว

กรกฎาคม 1861 สิบเดือนต่อมา เรือจอร์จ เฮนรี่เดินทางมาที่เกาะแบฟฟินอีกครั้ง ทันทีที่มาถึงลูกเรือที่มองดูอยู่บนยอดเสากระโดงก็ร้องเสียงหลงชี้มือไปที่ ขอบฟ้า ห่างออกไปราว 2 ไมล์ มีเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นเป็นเงาลางในม่านหมอก แต่ก็สามารถบอกได้จากกราบเรือที่ฉีกแตกว่านั่นคือ เรือเรสคิว มันแล่นเป็นเส้นตรงเหมือนกับมีมือที่มั่นคงบังคับหางเสือ ทั้งๆ ที่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตบนดาดฟ้า ลูกเรือของ เรือจอร์จเฮนรี่ มองภาพข้างหน้าอย่างขนลุกขนชัน ครู่เดียวมันก็หายไปในหมอกอีกครั้ง

เย็น วันนั้นเรือจอร์จเฮนรี่ทอดสมอเรือไว้ที่อ่าวโฟรบิสเชอร์ ไม่ห่างจากจุดที่เรือเรสคิวประสบเหตุอับปางเมื่อปีก่อน ไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนั้น ลมแรงจัดก็พัดมาจากทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ พาน้ำแข็งก้อนมหึมาข้ามทะเลตรงมายังเรือจอร์จเฮนรี่ ลูกเรือต่างรีบหาไม้มาช่วยกันยันก้อนน้ำแข็งออกไปก่อนที่มันจะมาชนเรือ ทว่าเพียงแค่ก้อนน้ำแข็งเบี่ยงทางไป แสงจันทร์ซีดเซียวก็จับไปยังสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือจอร์จเฮนรี่ตาค้าง

มัน คือเรือเรสคิว !!!

เรือนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไมล์เดียว ที่สำคัญคือมันกำลังไถลวิ่งตรงเข้ามาหา ไม่มีทางที่เรือจอร์จเฮนรี่จะหลีกพ้น มันอาจจะเป็นชะตากรรมหรืออาจเป็นความเคียดแค้นที่ถูกทิ้งอยู่เดียวดาย แต่จะอะไรก็ตาม ลูกเรือจอร์จเฮนรี่เตรียมใจรอรับการพุ่งชนในอึดใจข้างหน้า จู่ๆ ณ จุดที่เรือกำลังจะสัมผัสกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปด เรือเรสคิวก็หันหัวเรือเปลี่ยนทิศ มันอาจติดก้อนน้ำแข็งจนหัวเรือต้องเปลี่ยนทางไป แต่ในความรู้สึกของลูกเรือดูเหมือนกับผีที่คุมพังงาเรือ เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย



วันต่อมา กัปตันฮอลล์ถอนสมอเรือและแล่นเรือออกจากอ่าว ไม่มีสัญญาณใดบอกให้เห็นเรือเรสคิว แต่ลูกเรือก็พากันเงียบงันตลอดทั้งวัน พวกเขาจับตาอยู่ที่ขอบฟ้าด้วยความหวาดกลัว และแล้วมันก็มาตามเวลาในตอนเย็น ตรงจุดที่มันถูกทิ้งอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้งในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง คราวนี้มันลอยออกไปทางทะเลปิด หายไปในเวลาร่วมชั่วโมง

ไม่มีใครรู้ ว่าที่สุดแล้ว เรือเรสคิว ลงเอยอย่างไร บางคนเชื่อว่ามันสิงอยู่ในทะเลเกาะแบฟฟิน แต่ไม่ว่าจะเชื่ออย่างไร ผีเรือเรสคิวก็มีอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวเรือในย่านนั้น จนมีใครหลายคนหวังว่าจะได้เห็นมันสักครั้ง


เครดิต : http://www.siamzone.com/board/view.php?sid=168945



 



ร็อดส์

UMA (Unidentified Mysterious Animal) หรือสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ได้รับการยืนยันนี้เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับคงจะผ่านเลยไปไม่ได้ อย่างที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่เนสซี่ของทะเลสาปล็อคเนส บิ๊กฟุต กับปะ ซีเซอร์เพนท์ หรือแม้แต่แพนด้าและกอริล่า ก่อนที่จะถูกยืนยันอย่างเป็นทางการในศตวรรษที่ 19 สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ต่างก็เคยเป็น UMA มาก่อน จะอย่างไรก็ดี UMA ยังถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ถูกยืนยันโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ UMA ที่ยังไม่มีหลักฐานรองรับอันแน่นอนก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งในสายตาคนทั่วไป UMA ก็ยังคงถูกแบ่งประเภทเป็น Occult อยู่ดี:L

 

Rods , Flying Rods หรือ Sky Fishes

ย้อนกลับไปเดือนในคม ปี 1994 สถานที่ก็คือแถวทะเลทราย ที่มิดเวย์ในรัฐนิวเม็กซิโก ช่างตัดต่อฟิลม์ชื่อโจเซ่ เอสคามิวล่า ได้เดินทางไปท่องเที่ยวพร้อมทั้งถ่ายวีดีโอไว้ได้เมื่อตอนไปกระโดดร่มเล่นที่หน้าผาในนิวเม็กซิโก และได้พบบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในฟิลม์เมื่อทำการฉายด้วยสโลโมชั่น บางอย่างที่ว่ามีลักษณะเป็นแท่งยาว ด้านข้างมีแผ่นครีบบางๆซึ่งโบกพัดไปมาด้วยความเร็วสูง โจเซ่จึงคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต เขาได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมันจนสามารถถ่ายภาพที่เกี่ยวข้องเก็บไว้ได้ถึง 500 ชั่วโมงและเรียกสิ่งมีชีวิตปริศนานี้ว่า Rods หรือFlying Rods ที่แปลว่าแท่งไม้บินนั่นเอง (แต่โดยทั่วไปแล้ว สิ่งมีชีวิตนี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่ละที่จึงเรียกชื่อไปต่างๆกัน ส่วน
"สกายฟิช"เป็นชื่อเรียกที่แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น)

        

ในปัจจุบันทั้งหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ที่ทำการศึกษามาก็ยังไม่อาจที่จะระบุได้แน่ชัดเลยครับว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาชนิดนี้คืออะไรกันแน่ เท่าที่ทราบกันก็คงจะเป็นแค่เรื่องที่ว่ามันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในอากาศ รูปร่างเป็นแท่งยาว มีปีกหรือครีบอยู่รอบลำตัว บินได้เร็วประมาณ 270-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับความเร็วขนาดนี้ แน่นอนครับ ตาคนธรรมดามองไม่เห็นหรือมองตามไม่ทันแน่ อีกปัจจัยหนึ่งก็คือเป็นเพราะว่าขนาดตัวของร็อดส์มีขนาดเล็ก เฉลี่ยประมาณ 4 นิ้ว (แต่ก็มีบางข้อมูลนะครับที่บอกว่าร็อดส์นั้นบางตัวอาจมีความยาวถึง 100 ฟุตก็เป็นได้ ค่อนข้างที่จะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย ;P ) และสีผิวค่อนข้างที่จะขาวหรือขาวใสด้วยครับ เลยทำให้เวลามันเคลื่อนที่อยู่นั้น เราจึงไม่อาจที่จะมองตามมันได้ทันเลย ส่วนเรื่องอาหารการกิน การสืบพันธุ์ พฤติกรรมต่างๆ ของร็อดซ์นั้น ที่เรารู้แทบจะเป็นศูนย์ครับ

มีการตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับร็อดส์มากมาย หากที่มีความน่าเชื่อถือมีใจความดังต่อไปนี้

1. แมลงที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
ในปัจจุบัน มีแมลงที่ถูกค้นพบอย่างเป็นทางการแล้วกว่า 8 แสนชนิดซึ่งเป็นจำนวน 3 ใน 4 ของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ทีเดียว กล่าวกันว่าแมลงที่ยังไม่ถูกบันทึกมีอยู่ประมาณ 3 ล้านสายพันธุ์ซึ่งยังแตกแยกออกไปได้อีกหนึ่งล้านล้านล้านชนิด คงไม่น่าแปลกหากร็อดส์จะเป็นหนึ่งในแมลงที่ยังไม่ถูกค้นพบเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ดี ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่าหากร็อดส์เป็นแมลงจริงก็น่าจะมีเสียงกระพือปีกถูกบันทึกมาในวีดีโอด้วย

2. สัตว์ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
ทฤษฎีนี้กล่าวว่าร็อดส์ไม่ได้เป็นแมลง แต่เป็นสัตว์ตระกูลนกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ทฤษฎีนี้ก็ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องเสียงปีกเช่นเดียวกับทฤษฎีแมลง

3. อะโนมาโลคาริส (Anomalocaris)
มีการตั้งสันนิษฐานว่าร็อดส์น่าจะเป็นอะโนมาโลคาริสซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตในยุคแคมเบรียน (545 ล้านปีจนถึง 550 ล้านปีก่อน) หรือไม่

      

ครีบข้างลำตัวของร็อดส์มีลักษณะคล้ายคลึงกับอะโนมาโลคาริสก็จริงอยู่ หากสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์นี้อาศัยอยู่ในน้ำ มันสามารถพุ่งตัวขึ้นมาเหนือน้ำได้ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงการร่อน ไม่ใช่การบินเหมือนกับร็อดส์ในวีดีโอ

4. สิ่งมีชีวิตจากต่างดาว
มุขนี้เป็นของประจำสำหรับโอพาร์ทสและ UMA ค่ะ คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีกแล้ว

5. ปรากฏการณ์ Motion Blur ของภาพ
เป็นทฤษฎีที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในการค้านที่เกี่ยวกับร็อดส์ เป็นต้นว่าเวลาถ่ายรูปวัตถุที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ภาพที่ออกมาจะปรากฏเส้นการเคลื่อนไหวของวัตถุนั้นในรูปด้วย (กรุณานึกภาพถ่ายของรถที่กำลังวิ่ง หรือถนนในตอนกลางคืน) มีการตั้งสันนิษฐานว่ารูปของร็อดส์อาจจะเป็นรูปของวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่หากถูกถ่ายภาพออกมาโดยเกิดโมชั่นเบลอร์ทำให้เห็นเป็นร็อดส์ได้

จะอย่างไรก็ดี การที่ยังไม่มีผู้สามารถจับร็อดส์ที่มีตัวตนอยู่จริงได้ จึงเป็นที่โต้เถียงกันจนทุกวันนี้ว่าร็อดส์มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ เนื่องจากเรายังไม่มีทั้งหลักฐานที่ยืนยันว่าร็อดส์มีจริง และหลักฐานที่ยืนยันว่าร็อดส์ไม่มีจริงเช่นกัน

      
    ถ่ายได้ในความมืด

     
     รูปร่างคล้ายแท่งไม้ยาวๆหรือแมลง แล้วแต่คนมองนะCredit : http://www.mythland.org/v3/thread-877-1-1.html

อีกาแห่งป้อมปราสาทลอนดอน

กาเรเวน(Raven)

                กาเป็นสัตว์ที่ฉลาด สีขนมันดำราวกับรัตติกาลบวกกับแววตาแวววาวดูลึกลับและเจ้าเล่ห์ บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของยมทูต มันเป็นสัญลักษณ์ของความตาย มันมีอำนาจชั่วร้ายแฝงกาย ยิ่งเป็นกาเรเวน(Raven) ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
                เรื่องราวคำสาปของอีกานั้นมีเรื่องเล่าอยู่เกือบทั่วโลก ในกรณีใหญ่และโด่งดังที่สุดคงจะไม่เกินไปกว่าราชวงศ์แฮปสเบิร์กส์ของออสเตรียที่รับเคราะห์กรรมเพราะกามาแล้ว
               
                มันเริ่มต้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 11 ในตอนนั้นเคานต์แห่งอัลเตนเบิร์ก(Count v on Altenbourg)หรือชื่อจริงว่ากอนทราน-เลอ-ริซี่(Gontran-le-Riche) ปกครองดินแดนเล็กๆ ใกล้กับบริเวณแม่น้ำอาร์กับแม่น้ำไรน์บรรจบกัน วันหนึ่งเขาออกไปล่าสัตว์ในป่า แต่ตัวเองกลับถูกฝูงนกแร้งไล่ล่าจนได้รับอันตรายจนเกือบถึงชีวิต หากแต่มีฝูงนกกาเรเวนมาขัดขวางเอาไว้เขาจึงได้รอด ท่านเคานต์เป็นหนี้บุญคุณของกา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาได้เลี้ยงดูและปกป้องกา และได้สร้างหอคอนสังเกตการณ์ขึ้นบนเนินสูงที่ยื่นออกไปริมแม่น้ำ ตั้งชื่อว่า ฮาบิชต์สเบิร์ก(Habichtsburg) แปลว่าปราสาทนกแร้ง และชื่อนี้ได้กลายเป็นชื่อราชวงศ์ที่ท่านเคานต์สถาปราขึ้น คือราชวงศ์แฮปสเบิร์ก
                ในตอนแรกๆ สมาชิกราชวงศ์นี้ดูจะมีเป็นมิตรกับกาดี ปล่อยให้กาเรเวนสร้างรังทุกหนทุกแห่ง แต่ร้อยปีหลังจากนั้นที่กอนทรานสิ้นลม มิตรภาพราชวงศ์กับกาเรเวนก็มีอันสิ้นสุดลงตามไปด้วย อาร์คแอ็บบอต แวร์เนอร์ และรัดบอต อนุชาเป็นผู้ทะเยอทะยานได้เสริมสร้างหอคอนให้กลายเป็นปราสาทใหญ่มีเชิงเทินหอรบเพียบพร้อมเรียงรายไปตามเนินเขา และตั้งชื่อใหม่ว่า ชลอสส์ แฮปสเบิร์ก(Schloss Hapsburg) ส่วนพวกกาถูกขับไล่ไสส่ง ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอีกต่อไป เมื่อการู้สึกว่าพวกตนถูกละเมิดข้อตกลงจึงเริ่มหันมาทำร้ายผู้ที่อยู่ปราสาท และพวกแฮปสเบิร์กก็ตอบโต้ด้วยการเข่นฆ่ากาบ้าง จนกาเป็นฝ่ายแพ้ ชนิดที่เรียกว่าสองศตวรรษต่อมาไม่ปรากฏกาเรเวนเหลืออยู่ที่ชลอสส์ แฮปสเบิร์กอีกเลย เพราะพวกเขาฆ่าพวกมันจนหมดสิ้น
                
               แม้พวกแฮปสเบิร์กจะฆ่ากาหมดแล้วก็ตาม แต่มันตายแค่ตัว ส่วนวิญญาณนั้นไม่ได้ตายตาม ว่ากันว่าวิญญาณของกายังคงสิงอยู่ที่ปราสาทชลอสส์ แฮปสเบิร์กแห่งนั้น และทุกครั้งที่ออสเตเลียเข้าสงครามอีกาจะปรากฏตัวแทบทุกครั้งและนั้นหมายความว่าฝ่ายออสเจเลยต้องประสบความพ่ายแพ้
                นอกจากกาแล้วยังมีสุภาพสตรีในชุดขาว ที่ไม่มีใครทราบว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อนางปรากฏกายจะเกิดเหตุร้ายกับราชวงศ์ เหมือนเธอมาเตือนให้รู้ตัวล่วงหน้า ให้ทราบว่าไม่มีทางหนีซะตากรรมของตนได้
                
                คำสาปเริ่มต้นเมื่อปี 1854 ตอนนั้นจักรวรรดิออสเตเลียอันเก่าแก่ใกล้จะจุดจบ วันหนึ่งรถม้าและกองทหารเกียรติยศได้เดินทางไปตามถนนจากเมืองมิวนิคมุ่งไปยังเมืองอัชเชิล บนรถม้านั้นมีสุภาพสตรีสามนาง หนึ่งในจำนวนนั้นมี อาร์ชดัชเชล ลูโดวิกา(Archduchess Ludovica) พระชนิษฐาของกศัตริย์ลุดวิกแห่งบาวาเรีย กับพระธาอีกสององค์ องค์โตคือ เจ้าหญิงเฮลีน(Helene)ผู้ซึ่งกำลังเดินทางจะไปเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ แห่งออสเตรีย ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ พระธิดาองค์รองคือ เจ้าหญิงเอลิซเบธ หรือซีซี่ อาร์ชดัชเชสได้ที่ทราบว่ากาได้ไปปรากฏตัวที่ป้อมออลมุตซ์ พระนางก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ปรากฏตัวที่อัชเชิล
                เจ้าหญิงเฮลีนมิได้ทรงปรารถนาจะเป็นจักรพรรดินีแห่งออสเตรีย ดังนั้นพระองค์จึงตรัสพ้อพระมารดาตลอดทาง แต่พระนางลูโดวิกาก็มิได้สนพระทัยว่าพรธธิดาจะปรารถนาหรือไม่ ตราบใดที่ทำตามที่พระนางบอกเป็นใช้ได้ ความจริงเรื่องอภิเษกสมรสครั้งนี้พระนางลูโดวิกามิได้เป็นคนต้นคิด หากเป็นพระประสงค์ของอาร์ชดัชเชสโซเฟีย สมเด็กป้าของฟรานซ์ โจเซฟ ที่จะดึงแคว้นบาวาเรียเข้ามาช่วยพยุงฐานะของออสเตรีย เพราะใครๆ ก็รู้ว่าในตอนนั้น จักรรดิออสโตร-ฮังการีกำลังแย่ สงครามนโปเลียนที่ผ่านมาทำเอาออสเตรียแทบล้มละลาย
                ตรงกันข้ามกับเฮลีนที่กำลังโศกเศร้า ซีซี่ร่าเริงสนุกสนาน ทำให้พระนางลูโดวิกาต้องมองด้วยความสงสัยแล้วพอถึงอัชเชิลความคลางแคลงของพระนางก็กลายเป็นจริง ในเมื่อจักรพรรดิหนุ่มทรงเลือกซีซี่เป็นคู่อภิเษก ซึ่งเรื่องนี้สร้างความโกรธกริ้วให้กับอาร์ชดัชเชสโซเฟียเป็นอย่างมาก แต่พระนางก็มิอาจทำอะไรได้ งานอภิเษกมีขึ้นที่โบสถ์เซ็นต์ออกัสตินในกรุงเวียนนาเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1854
                และบัดนี้ซีซีได้กลายเป็นจักรพรรดินีเอลิซเบธแห่งออสเตเรีย จักรพรรดิที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปในขณะนั้นไปแล้ว แต่อาร์ชดัชเชสโซเฟียก็จ้องทำลายชีวิตสมรสของจักรพรรดินีลงให้จงได้ พอซีซี่ประสูติพระโอรส พระนางโซเฟียก็แยกพระโอรสออกมาจากซีซี่ โดยอ้างว่าเพื่อจะเลี้ยงดูให้เหมาะสม พระนางจัดหาสาวชาววังที่สวยๆ มาคอยอยู่งานอภิบาลเด็กโดยหวังใช้สาวๆ เหล่านั้นดึงความสนพระทัยจากจักรพรรดิหนุ่มให้มาเสียจากซีซี่ ซึ่งก็ได้ผล ในไม่ช้าซีซี่ต้องรู้สึกทนทุกข์ทรมานถูกโดดเดี่ยว เพื่อคนเดียวที่พระองค์มีคือพระสนองพระโอษฐ์ชื่อ มาร์เกริต คัน ไลฟ์-โอเวน
                ในตอนนั้นก็มีข่าวลื่อในหมู่ชาววังว่าทั้งกาและสตรีในชุดขาวได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็น เพื่อหนีจากเรื่องซุบซิบและว้าเหว่ พระนางซีซี่ก็เลยหาเรื่องเสด็จประพาสประเทศต่างๆ ไปเรื่อยๆ มาร์เกริตเล่าว่าครั้งหนึ่งขณะที่ประพาสแคว้นบริตตาเนีย องค์จักรพรรดินีถูกเรียกให้กลับกรุงเวียนนาด่วน ทิ้งมาณืเกริตให้อยู่บริตตาเนียต่อจนจบกำหนดการ
                บ่ายวันหนึ่งขณะที่มาร์เกริตกำลังขี่ม้าเล่นอยู่แถวแหลมกีเบอรอน เธอได้เหลือบเห็นสตรีในชุดขาวกำลังยืนเซไปมาอยู่บนเงื้อมผา เธอดึงม้าให้หยุดจนมันหงกหลัง พอเธอตั้งหลักได้อีกหน หันกลัยไปดูที่เดิมก็ไม่เห็นสตรีนั้นเสียแล้ว
                คืนนั้น เธอเข้านอนดึกกว่าปกติ เพราะงานเต้นรำคฤหาสน์ เธอนอนได้ไม่นานก็ต้องตื่นขึ้น แล้วก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ตอนแรกคิดว่าเป้นเสียงตีของนาฬิกา แต่แล้วเสียงฝีก้าวเดนอย่างเร็วๆ แสงจันทร์ที่สาดลอดหน้าต่างเข้ามาสว่างพอให้เธอมองเห็นร่างในชุดขาวเหมือนอย่างที่เธอเห็นเมื่อตอนบ่าย เพียงแต่ชัดกว่าสตรีนั้นชี้ให้ดูที่หน้าอก ซึ่งเธอมองเห็นโลหิตหลายหยดไหลออกมาจากบาดแผลรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ เธอนึกถึงจักรพรรดินีทันที
                มาร์เกริตรีบโทรเลขถึงจักรพรรดินีโดยด่วน และก็ได้รับโทรเลขตอบว่าพระนางสบายดี ระหว่างหลายปีมานี้พระนางก็ได้เห็นกาและสตรีในชุดขาวบ่อยๆ
                ก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายต่อจักพรรดินี เหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับเจ้าชายรูดอล์ฟมกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย พระราชโอรส ในคืนวันที่ 30 มกราคม 1898 มงกุฏราชกุมารรูดอล์ฟ ได้เสด็จไปพบศาน์เตสมาเรีย เวตเซรา คนรักของพระองค์ที่ตำหนักล่าสัตว์ในป่าเมเยอลิ่ง ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าไม่มีโอกาสอภิเษกกัน เพราะฝ่ายหญิงแม้จะเคาน์เตสแต่ก็เป็นสามัญชน  ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าทางออกมีทางเดียวเท่านั้นคือ การฆ่าตัวตาย
                และไม่กี่ชั่วโมงต่อมานานาชาติก็ตกตะลึงเมื่อทราบข่าวว่าพระมกุฎราชกุมารรูดอลฟ์ ใช้พระแสงปืนยิงมาเรียและยิงพระองค์ตายตาม
                
                ถึงตอนนี้จักรพรรดินีเริ่มเสด็จประพาสถี่ขึ้น และสุภาพสตรีในชุดขาวก็ดูเหมือนจะปรากฏตัวถี่ขึ้นเช่นกัน ในคืนครบรอบ 40 ปีการอภิเษกสมรสของพระนางเมื่อปี 1989 ที่ปราสาทฮอฟเบิร์กที่อยู่ติดกับโบสถ์ที่เคยจัดพิธีอภิเษก ทหารยามผู้หนึ่งด้เห็นสตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวถือไฟสำหรับจุดเทียน เธอหันแบะเดินกลับไปทางเดินเข้าไปในห้องสวดมนต์ ทหารยามผู้นั้นตามเธอไปและบอกยามคนอื่นๆ ให้รู้ตัว พวกทหารยามช่วยกันค้นหาจนทั่วทั้งตึกแต่ก็ไม่มีวี่แววของสตรีผู้นั้น ในคืนเดียวกันก็มีผู้พบเห็นสตรีในชุดขาวที่ปราสาทเชินบรุนน์เช่นกัน เพียงแต่เป็นคนละเวลา
                และในเช้าวันศุกร์อีกห้าเดือนต่อมาขณะที่จักรพรรดินีนีเอลิซเบธประทับพักผ่อนพระอิริยาบถอยู่ที่เฉลียงโรงแรมแกรด์โฮเต็ล เมืองโซกซ์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระนางทอดพระเนตรลงไปแลเห็นสตรีแต่งขาวจ้องมองอย่างประสงค์ร้าย พระนางจึงร้องให้คนช่วย พวกเจ้าหน้าที่ช่วยกันค้นหาจนทั่วก็ไม่พบตัว ตกค่ำนั้นพระนางออกมาที่เฉลี่ยงก็เห็นสตรีคนเดิมอีกแต่คราวนี้มานั่งอยู่ใกล้ๆ พระนางตกพระทัยร้องให้คนช่วย และคราวนี้ก็เช่นกันไม่มีผู้ใดพบสตรีผู้นั้น
                วันที่ 9 กันยายน ซึ่งก็เพียงไม่กี่วัดถัดมา ตอนนั้นพระนางประทับชมทิวทัศน์อยู่ที่แตรีเตบนเทือกเขาแอลป์กับ มร.เบเกอร์ พนักงานถวายอักษรชาวอังกฤษซึ่งนำตะกร้าผลไม้มาถวาย แล้วขณะที่ มร.เบเกอร์กำลังอ่านคอร์ลีโอเน่ ซึ่งเป็นนวนิยายเกี่ยวกับพวกมาเฟียที่พยายามปลงพระชนม์พวกเจ้านายถวายอยู่นั้น พระนางก็ตัดผลท้อซีกหนึ่งให้ มร.เบเกอร์ แต่ยังมิทันได้ส่งก็เห็นนกกาเรเวนตัวใหญ่ถลาลงจากต้นสยมาบินวนรอบพระเศียร ปลายปีกของมันปัดท้อพลันหลุดจากพระหัตถ์ มร.เบเกอร์ตกใจมากเพราะเขารู้ว่าหมายถึงถึงอะไร
                บ่ายวันรุ่งขึ้น พระจักรพรรดินีเสด็จออกจากโฮเต็ลที่ประทับในกรุงเจนีวาเพื่อจะประทับเรือล่องขึ้นไปตามทะเลสาปเจนีวา มีเคานเตสส์สตาเรย์ นางสนองพระโอษฐ์โดยเสด็จไปด้วย พอไปถึงท่าเรือก็ได้ยินเสียงระฆังเรือเคานเตสส์จึงรีบขึ้นหน้าไปก่อนหมายจะไปบอกพวกเจ้าหน้าที่มิให้ยกสะพานออก ทิ้งจักรพรรดินีไว้ลำพัง ทันใดนั้นก็มีชายผู้หนึ่งวิ่งตรงเข้าไปใช้เหล็กหมาดเย็บรองเท้าแทงเข้าที่พระอุระ และหนีไป  ก่อนที่ใครๆ จะรู้ตัวแต่ก็ถูกจับได้ภายหลัง จึงรู้ว่าเป็นชาวอิตาเลียนชื่อลุยจี ลุกเกนี เป็นพวกอนาธิปไตย ส่วนองค์จักรพรรดินีมีผู้ช่วยประคองไว้มิให้ล้ม ตอนแรกคิดว่าพระองค์แค่ถูกล้วงกระเป๋าเท่านั้น พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินต่อ ลงไปประทับเรือไม่นานก็ทรงเป็นลมแน่นิ่งหมดสติ และเมื่อเรือแล่นกลับเข้าฝั่งก็พบว่าพระองค์ถูกแทงทั้งๆ ที่ไม่มีใครเข้าใกล้พระองค์ตอนอประทับบนเรือ หมอมิอาจช่วยอะไรได้ พระนางสิ้นพระชนม์ด้วยพระโลหิตตกใน(และจนกลายเป็นหนึ่งคดีห้องปิดตายที่ผมลงไปแล้ว)
                อ่านที่ http://writer.dek-d.com/dek-d/story/viewlongc.php?id=205702&chapter=329
                เหล็กหมาดได้ทำให้เกิดบาดแผลรูปสามเหลี่ยมเล็กและมีโลหิตอูดออกมาเพียงเล็กน้อย ตรงกับที่มาร์เกริต คัน ไลฟ์-โอเวน เห็นที่บริตตานีเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด
                
               กากับซะตากรรมของราชวงศ์แฮมสเบิร์กไม่จบเพียงแค่นี้ เมื่อตอนเจ้าชายแม็กซิเลียน(Emperador Maximiliano I) พระอนุชาของจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ และชาล็อตต์ พระมเหสี เดินทางออกจากยุโรปเพื่อไปปกครองเม็กซิโกนั้น ก็ได้มีกาเรเวนตัวหนึ่งบินลงมาเกาะบนหลังตู้เบกี้รถไฟที่เจ้าหญิงชาล็อตประทับ ต่อมาไม่นานแม็กซิมิเลียมก็ถูกฝ่ายปฏิวัติจับสำเร็จโทษ ส่วนพระนางชาล็อตต์ก็เสียพระจริต
                แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อไปนี้
                ไฟล์:Franzferdinand sophie sarajevo.jpg
                ฟรานซ์ เฟอร์ดินานFranz Ferdinand Karl Ludwig Joseph von Habsburg-Lothringen) พระนัดดาจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟ ทรงรักอยู่กับเคานเตสส์โซฟี โชแตก (
                แล้ววันหนึ่งในเดือนมิถุนายน 1914 ขณะที่เจ้าหญิงโซฟีประทับรถพระที่นั่งไปตามถนนในกรุงเวียนนาโดยมีฝูงชนออดูกันตลอดสองข้างทางนั้น พระองค์ก็ได้เห็นฝูงกาบินวนอยู่เหนือท้องฟ้า เจ้าหญิงรู้ว่านี้คือลางไม่ดีเลยยกเลิกหมายกำหนดการทั้งหมด รีบเสด็จไปเมืองโกโนปิชต์ในแคว้นโบฮีเมียโดยด่วน พอถึงก็ตรงไปพบพระสวามีที่กำลังประชุมอยู่กับพวกนายทหาร เจ้าหญิงทรงขอร้องให้พระสวามียกเลิกการเสด็จเยือนเมืองซาราเยโวเสีย
                แต่อาร์ชดยุคเฟอร์ดินานมิอาจทำได้ เพราะบอสเนียกำลังก่อกบฏ พระองค์จำเป็นต้องไปปรากฏตัวพระองค์เพื่อปลุกใจฝ่ายที่สนับสนุนนออสเตรียก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป อีกทั้งพระองค์ก็ไม่เชื่อเรื่องกา
               
                เมื่อขอร้องไม่สำเร็จ เจ้าหญิงเลยตามเสด็จไปด้วย แล้วในขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับรถที่นั่งสีแดงเปิดประทุนไปตามถนนในเมืองซาราเยโวนั่นเอง ก็มีพวกปฏิวัติโยนระเบิดเข้าใส่ แต่ทั้งสองพระองค์มิได้รับอันตราย แม้จะตกพระทัยอยู่บ้าง แต่ก็ทรงให้ไปต่อ และเมื่อรถขับเข้าถนนรูดอร์ฟ ทั้งสองก็ถูกนักศึกษาหนุ่มหัวอนาธิปไตยชื่อ เกบริล ปรินซิป ใช้ปืนยิง ทั้งสองสิ้นพระชนม์ทั้งคู่
                เหตุการณ์ครั้งนั้นได้กลายเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในเวลาต่อมา ที่เป็นเหตุทำให้คนต้องล้มตายหลายล้านคน และทำให้จักรวรรดิราชวงศ์แฮปสเบิร์กต้องพบจุดจบ ความแค้นของอีกาได้ชำระสำเร็จลุล่วงแล้ว
                
                คำสาปอีกาที่โด่งดังอีกเรื่องคืออีกาที่หอคอยลอนดอน (Tower of London) ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและ ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้จะมีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นครลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!
                เรื่องนี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร  ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะคะ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่ มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลาถ้าตัวใดล้มป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก) และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะอันตรธานไปเช่นกัน

จากต่วยตูน 
http://www.youtube.com/watch?v=0a0mT1udjZU
   

ป่าฆ่าตัวตาย

ป่าฆ่าตัวตาย (Aokigahara)

                ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่มีอายุขัยเฉลี่ยสูงสุดของโลก แต่กระนั้นประเทศนี้ก็มีสถิตอีกอย่างที่ไม่ค่อยดีเหมือนกัน คือเป็นประเทศที่มีสถิตฆ่าตัวตายมาก คือจากสถิต ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตัวเลขคนฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2,645 คน เพิ่มจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วที่มียอดคนฆ่าตัวตาย 2,305 คน หรือเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 15
                ทำไมคนญี่ปุ่นถึงได้กล้าฆ่าตัวตายได้แบบนี้ ก็อันเนื่องมาจากสังคมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากลัทธิบูชิโด (วิถีแห่งนักรบ) ซึ่งเชื่อ ว่า คนเราบริสุทธิ์จากความผิดได้ด้วยการฆ่าตัวตาย เช่น ฮาราคีรี ฯลฯ เมื่อฆ่าตัวตายแล้ว... ไม่ว่าความผิดอะไรก็จะได้รับการให้อภัยจากสังคม
                ส่วนสาเหตุที่คนญี่ปุ่นฆ่าตัวตายในยุคปัจจุบันก็มีหลายอย่าง ไล่ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่นโดนรังแก, อับอาย, พ่อแม่ไม่ใส่ใจ, หรือแม้กระทั้งโดนจับได้เพราะทุจริต และบุคคลที่ฆ่าตัวก็มีหลายช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ผู้หญิง และตำแหน่งสูงหรือต่ำ ไปจนถึงอดีต ส.ส.
                ในปี2007 คนสูงอายุญี่ปุ่น (อายุมากกว่า 60 ปี) ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 9% ซึ่งกลายเป็นว่าสถิตคนที่ฆ่าตัวตายของญี่ปุ่นคือ “ผู้สูงอายุ” โดยคิดได้เป็น 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุที่คนสูงอายุฆ่าตัวตายมากขึ้นเป็นผลจากปัญหาเรื่องการเงิน โดยเฉพาะเงินบำนาญ หรือเงินออมที่ไม่พอใช้ นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ ทำให้เงินออมที่มีอยู่เดิมไม่พอใช้
                นอกจากนี้ยังมีสถิตที่น่าสนใจของการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นอีกหลายอย่าง เช่นผู้ชายฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิงเกือบสองเท่า, ผู้สูงอายุในโตเกียวที่อาศัยอยู่ตามลำพังมีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำกว่าผู้ที่อาศัยอยู่กับบุตรหลาน, กลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไป สตรีจะฆ่าตัวตายถึงร้อยละ 70,ประเทศฮังการีเพียงประเทศเดียวที่สตรีสูงอายุ 65 ปีและ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าประเทศญี่ปุ่น คือ 56 ต่อ 39 ต่อประชากรแสนคน
                และอีกข้อมูลที่น่าสนใจคือสถานที่ชาวญี่ปุ่นนิยมไปฆ่าตัวตายที่สุด.......คือป่าอาโคคิกาฮาระ
                
                ป่าอาโคคิกาฮาระ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าจูไคซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกขานว่า “ป่าฆ่าตัวตาย”สถานที่แห่ง อยู่บริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ บริเวณทางขึ้นภูเขาไฟฟูจิ มีพื้นที่ประมาณ 3000 เอเคอร์  ซึ่งเป็นจุดชมความงามของภูเขาฟูจิ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ลาวาได้สร้างลักษณะภูมิประเทศแปลกประหลาด มีถ้ำเล็กๆ หลายถ้ำ รวมทั้งแร่ธาตุจากภูเขาไฟทำให้ก่อกำเนิดพันธุ์พืชจนทึบไม่สามารถเข้าไปในส่วนลึกได้
                แน่นอนภูเขาไฟฟูจิถือว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ภูเขาที่แต่หิมะปกคลุมอยู่บนยอดเขา ที่สวยงามจนองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
                แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่คิดฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน โดยสถิตพบว่าสถานที่แห่งนี้มีคนมาฆ่าตัวตายเป็นอันดับ 2 ของโลก!!(อันดับหนึ่งคือสะพานโกลเด้นเกต(Golden Gate)
                ในสมัยก่อนนอกจากจะเป็นสถานที่ฆ่าตัวตายแล้ว ป่าอาโคคิกาฮาระยังเป็นสถานที่ซึ่งครอบครัวญี่ปุ่นที่มีฐานะการเงินฝืดเคียงไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้จะนำเด็กและคนแก่ หรือคนในครอบครัวมาปล่อยทิ้งในป่านี้เพื่อให้อดอาหารตาย
                บุคคลที่ตายในป่าแห่งนี้ก็มีหลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นชินจู(การฆ่าตัวตายของคู่รัก),โอยาโกะ(การฆ่าตัวตายหมู่ในครอบครัว),โอบาสึเตะ(การฆ่าตัวตายของผู้สูงอายุ)
                
                 จากข้อมูลสถิตพบว่า ในปี 1950 พบศพผู้เสียชีวิตในป่าแห่งนี้มากกว่า 500 คน เฉลี่ยแล้วมีผู้คิดสั้นในป่าแห่งนี้ราวปีละ 30 ราย ซึ่งในปี 2002ถือว่ามากที่สุดเกือบ 80 ราย จนกระทั้งเจ้าหน้าที่ต้องติดป้ายประกาศห้ามฆ่าตัวตาย และต้องมีส่งเจ้าหน้าที่หรือคณะค้นหาศพตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
                ป่าอาโคคิกาฮาระ มีชื่ออีกเรียกหนึ่งว่า “ทะเลป่า” The Sea of Trees เนื่องจากมีความเชื่อว่าป่าแห่งนี้มีวิญญาณต้นไม้ หรือโคดามะ อยู่ ซึ่งวิญญาณของต้นไม้จะดูดเอาพลังงานชีวิตจากผู้เสียชีวิตกลับคืนเป็นพลังแห่งป่า เพื่อต้านภัยธรรมชาติและต้านภัยของมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้ฆ่าตัวตายเชื่อว่าถ้าได้ตายในป่านี้จะทำประโยชน์ต่อป่าแห่งนี้ได้ ดีกว่าเอาฆ่าตัวตายแล้วไม่ได้อะไร
                มีตัวอย่างของคนฆ่าตัวตายคนหนึ่ง เป็นชายวัย 46 ปีที่ถูกปลดออกจากโรงงานเหล็กแห่งหนึ่งกลายเป็นคนล่าสุดที่หวังจะปลิดชีพตัวเองในป่านี้ โดยซื้อตั๋วรถเที่ยวเดียวมุ่งหน้าไปยังป่า ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงโตเกียว ก่อนจะลงมือเชือดข้อมือตัวเอง แต่แผลไม่ลึกพอที่จะทำให้สิ้นใจ ทำให้ชายผู้นี้ต้องทรมานอยู่ในป่าลึกหลายวันในสภาพร่างกายขาดน้ำ อาหาร และเนื้อเยื่อถูกทำลายจากสภาพอากาศเย็นจัด ก่อนจะมีผู้มาพบเข้า และช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ด้วยสภาพอากาศเย็นจัดทำให้ชายผู้นี้อาจเสียนิ้วเท้าขวาไปเพราะเนื้อเยื่อตาย
                ชายผู้นี้เผยว่าหลังจากที่ถูกปลดออกจากงานก็คิดว่าอนาคตที่เหลือนั้นมืดมน เนื่องจากขาดเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต และตกอยู่ในสภาพหนี้ท่วม รวมถึงไร้ที่อยู่เพราะต้องออกจากที่พักที่บริษัทจัดไว้ให้ด้วย
                นอกจากนี้ ก็ยังมีอิทธิพลจากนิยายเรื่อง “คุโรอิ จูไค(Kuroi Jukai)” รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง “คิโนะอุมิ” ที่นำเสนอเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งได้ฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้ ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับความนิยมใช้เป็นสถานที่ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นอีก
                ปัจจุบันแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กีฬากลางแจ้ง ท่องป่า ตั้งแคมป์ แต่จากการที่คนมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวป่าแห่งนั้นก็พูดออกมาว่ามีบรรยากาศชวนหดหู่ มีป้ายเขียนข้อความเพื่อเตือนสติอย่างน่าหดหู่ ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรดีเลย แถมยังรู้สึกแปลกๆว่าถูกจ้องจากทุกที่ บางคนถึงกับบอกว่าเป็นที่ที่ทุกอย่าง ugly ทั้งที่อยู่ใกล้ธรรมชาติที่สวยงามอย่างภูเขาไฟฟูจิแท้ๆเป็นที่ปวดหัวกับผู้ส่งเสริมการท่องเที่ยวละแวกนั้นอีก พนักงานลูกจ้างแถวนั้นก็เล่าว่าสามารถมองดูแล้วบอกได้เลยว่าใครที่มาพำนักพักผ่อนชั่วคราว ส่วนใครจะมาพักผ่อนไปตลอดกาลไตร่ตรองดูใหม่อีกครั้ง ชีวิตของท่านเป็นสิ่งมีค่าที่พ่อแม่ให้มา อย่าเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว โปรดปรึกษากับคนอื่นก่อน"
                
                สุดท้ายก็คำพูดของรัฐมนตรีโคบายาชิที่กล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ครับ
                "We've got everything here that points to us being a death spot. Perhaps we should just promote ourselves as 'Suicide City' and encourage people to come here,"
                “ไหนๆ คนอื่นก็รู้กันทั่วแล้วว่านี้เป็นที่นิยมฆ่าตัวตาย เรามาโปรโฆตดีไหมให้คนมาท่องเที่ยวเยอะๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองซะเลย”

(เนื้อหาบางส่วนจาก ตำนานอาถรรพ์สยองผีญี่ปุ่น ของกฤษฏา กฤษณะเศรณี)