Translate

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน ผู้วิเศษ???



โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตเด็กและ ราษฎรรัสเซีย หลายร้อยคนไป เมื่อเร็วๆนี้ ได้เคยเกิดขึ้นมา ครั้งหนึ่งแล้วครับ เมื่อร้อยกว่าปีมานี่เอง และเกิดขึ้นในวันมหามงคลด้วยคือ ระหว่างเฉลิมฉลอง พิธีราชาภิเษก ของกษัตริย์แห่ง ราชวงศ์ โรมานอฟ มีคนตายนับพัน ซันเดย์ สเปเชียล หนนี้จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับผม
ราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov dynasty) ได้ปกครองรัสเซียเป็นเวลานานถึง 300 ปี มีจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรหลายองค์ เช่น ปีเตอร์มหาราช คันทรีมหาราชินี แต่แล้วพอถึง ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟ ก็ต้องประสบกับโศกนาฏกรรมร้ายแรง ปิดฉากราชวงศ์ที่เคยยิ่งใหญ่ลง
ความหายนะที่เกิดขึ้นนี้ ว่ากันว่า ส่วนหนึ่งมาจากคำสาปแช่งของ บุรุษที่มีพลังอำนาจจิตสูงส่ง นาม รัสปูติน (Rasputin)!กริกอรี เยฟิโมวิช รัสปูติน เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1869 ที่หมู่บ้านโปครอฟสกี อำเภอทยูแมน จังหวัดโตบอลส์ก ในไซบีเรีย ในครอบครัวเกษตรกร สันนิษฐานว่าเขามีความเชื่อในนิกายคริสติ และค็อปสตี
ในตอนเป็นหนุ่ม รัสปูตินกระหายที่จะเป็นเกษตรกรผู้ที่ทำงาน ดื่มเหล้าหนัก และเสเพลเรื่องผู้หญิง( ด้วยอวัยวะเพศของเขาที่ใหญ่ผิดมนุษย์มนาทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเด็กสาวในหมู่บ้าน  ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำด้วยกัน...กับพวกเธอ บางคนบอกว่าเจ้าโลกของเขาอาจยาวกว่า 13นิ้วทีเดียวเชียว..
.....วันหนึ่งไอรินา แดนิลอฟว่า คูบาชอฟว่าภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซีย ร่วมกับสาวใช้ ๖ คนร่วมกันล่อลวง้ด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ 16 ปี ไปเสียตัว หลังจากเหตุการณ์ครานั้น รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณี ในหมู่บ้านของเขาเอง
ซึ่งในสมัยนั้นเป็นนิกายที่นอกรีต ต่อมาในวัยเด็ก รัสปูติน ก็ดูมีความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตได้อย่างค่อนข้างถูกต้อง
ในวัยเด็กและวัยหนุ่ม การที่รัสปูตินมีพลังพิเศษที่อธิบายไม่ได้ ประกอบกับอุปนิสัยที่เงียบขรึม และบางครั้งก็ชอบทำอะไรแปลกๆ ทำให้คนรอบข้างหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่กล้าพูดด้วย จนใน ค.ศ. 1887 รัสปูติน บวชเป็นนักบวชในนิกายคริสติ พำนักอยู่ในอาราม Verkhoturye และมีมาคาเรีย (Makariy) เป็นอาจารย์ ในช่วงแรก ผู้คนในเมืองที่รัสปูตินพำนัก ต่างนับถือ แต่ต่อมา เมื่อผู้คนพบกับธาตุแท้ ต่างเรียกรัสปูตินว่า Icha หรือ นักบวชวิปลาส
ค.ศ. 1889 รัสปูติน แต่งงานกับ ปราสโกเวีย เฟโอโดรอฟนา ดูโบรวินา (Praskovia Fyodorovna) และมีลูกด้วยกัน 4 คน แต่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก 1 คน ส่วนอีก 3 คน ได้แก่Dmitri เกิดใน ค.ศ. 1897 , Matryona เกิดใน ค.ศ. 1898 และ Varvara เกิดใน ค.ศ. 1900 สามคนมีชีวิตอยู่จนเติบใหญ่ ถึงแม้จะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่ จากการที่ได้ร่วมทางกามอารมณ์กับเด็กสาวชาวไซบีเรียน ๓ คนที่พบกันที่ทะเลสาบนั้นเอง รัสปูตินได้ถูกชักจูงให้ได้รับรู้ถึงความหลากหลายทางศาสนา ซึ่งเขาได้เข้าสู่นิกายนอกรีดชื่อว่า นิกายคริสติ ซึ่งสอนให้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปติดตัวมาแต่เริ่มแรก...ซึ่งต้องมีการทำพิธีกรรมล้างบาป ด้วยวิธีพิลึกกึกกือ..ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก รัสปูตินจึงถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านไป.....
ค.ศ. 1901 รัสปูติน ออกเดินทางแสวงบุญไปยัง กรีก และ เยรูซาเล็ม เป็นเวลา 2 ปี
ค.ศ. 1903 รัสปูติน เดินทางกลับมาถึงรัสเซีย และอ้างตนเป็นผู้มีพลังพิเศษ สามารถทำนายอนาคตและรักษาโรคได้ เร่ร่อนไปทั่วรัสเซียแต่ก็ยังหาสาว ๆ มาเพื่อประกอบพิธีกรรมนั้นอยู่ ด้วยกามอารมณ์และความพิลึกพิลั่นต่าง ๆ นานา แต่ถึงกระนั้นสาว ๆ ที่เป็นสาวกของรัสปูตินและนิกายดังกล่าวต้องยอมบำเรอความสุขให้เขาก่อนเป็นขั้นแรก..โรเบิร์ต แม็ตซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติเคยกล่าวว่า " การร่วมเพศกับคนไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือที่สกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น
ค.ศ. 1904 องค์ชายอเล็กไซ พระโอรสองค์โตในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงประสูติ แต่ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย (Haemophillia) หรือพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากพระโลหิตผิดปกติ ซึ่งในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้ พระเจ้าซาร์หาหมอมือดีมาหลายคนก็ไม่สามารถรักษาพระอาการได้
ค.ศ. 1905 รัสปูติน เดินทางมาในพระราชวัง และสามารถรักษาพระอาการป่วยขององค์ชายอเล็กไซได้ (ซึ่งปัจจุบัน ข้อสันนิษฐานที่นักประวัติศาสตร์คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดของวิธีที่รัสปูตินใช้ คือ สะกดจิตให้องค์ชายหลับไป และปล่อยให้ระบบในพระวรกายเยียวยาองค์ชายอย่างเงียบๆ จนทรงมีพระอาการดีขึ้น) จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (เจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์) พระมารดาขององค์ชายอเล็กไซ และพระเมหสีในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 จึงขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวัง เพื่อดูแลอเล็กไซต่อ ทำให้ชีวิตของรัสปูติน เริ่มมีบทบาทและอำนาจขึ้นมา
ปริศนาที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้คือ เขารักษาอาการขององค์รัชทายาทได้อย่างไร?
บางคนมั่นใจว่า เขาใช้วิธีสะกดจิต
บางคนแย้งว่า เป็นเพราะเหตุบังเอิญ
แต่จะอธิบายเหตุบังเอิญได้อย่างใด ในเมื่อการรักษาเยียวยานั้นเป็นไป อย่างได้ผลตลอดระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี เรียกว่า ถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลครั้งใด รัสปูตินก็สามารถช่วยไว้ได้ทุกครั้ง
ซาริน่าทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับ พลังอำนาจพิเศษจากเทพเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามา พำนักอยู่ในพระราชฐานชั้นใน เพื่อดูแลถวายการรักษาอเล็กไซอย่างใกล้ชิด
Image:Rasputin Photo.jpg
                และนี่เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาส คลุกคลีกับสาวสรรพ์กำนัลในแห่งพระราชวัง จนกลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวถึงสัมพันธ์สวาทที่เขามีต่อเหล่านางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง และแม้กระทั่งซารีน่าอเล็กซานดราก็มิได้เว้น!
ทุกครั้งที่เจ้าชายอเล็กเซ่มีอาการกำเริบ รัสปูตินก็จะถูกเรียกตัวเข้าวัง แต่ก็น่าแปลกที่ทุกครั้งที่รัสปูตินทำการสวดภาวนา อาการป่วยของเจ้าชายอเล็กเซ่ก็จะหายลงทันที ทำให้ซาร์นิโคลัสและพระนางอเล็กซานดร้าไว้เนื้อเชื่อใจในตัวรัสปูตินมากจนถึงขนาดเรียกเขาว่า"สหายเรา" และยินยอมให้รัสปูตินให้คำปรึกษาในเรื่องการเมืองด้วย
คำทำนายต่างๆของรัสปูตินกลายมาเป็นเครื่องชี้ซ้ายขวาในการตัดสินราชการแผ่นดินของรัสเซียในเวลาไม่ช้า พระเจ้าซาร์นิโคลัสทรงโปรดให้รัสปูตินอยู่ข้างพระองค์เสมอและคอยถามคำพยากรณ์ต่างๆก่อนที่จะตัดสินใจ จะเห็นได้จากภาพถ่ายที่หลงเหลืออยู่ว่าเกือบทั้งหมดมีภาพของชายชุดดำอยู่ด้วยเหมือนเป็นเงาตามตัว
ขุนนางในราชสำนักรัสเซียจำนวนมากไม่พอใจในตัวรัสปูติน มีการสอบสวนและนำเรื่องขึ้นทูลซาร์นิโคลัสหลายครั้ง หากทั้งพระเจ้าซาร์นิโคลัสและพระนางอเล็กซานดร้าต่างก็ไม่ใส่ใจ ในบรรดาขุนนางเองก็มีทั้งที่ต้องการขับไล่รัสปูตินออกไปและที่ต้องการจะหาประโยชน์จากรัสปูติน จนมีการแบ่งราชสำนักออกเป็นสองฝ่าย
หลังจากรัสปูตินอยู่ในวังหลวงได้สักพัก รัสปูตินก็เริ่มจัดงานเลี้ยงเพื่อล้างบาป ซึ่งงานเลี้ยงแต่ละครั้ง ก็ใช้เงินมาก และยิ่งนานวัน รัสปูตินยิ่งสั่งจัดงานเลี้ยงล้างบาปบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนดูพร่ำเพรื่อ และคนภายนอกเริ่มมองว่ารัสปูตินต้องการเสวยสุขจากงานเลี้ยงมากกว่า
ที่ร้ายกว่านั้นรัสปูตินอาศัยอิทธิพลของพระนางซารีน่าเพื่อสร้างเรื่องอื้อฉาวด้านกามอารมณ์ของตัวเองกับสาว ๆ ทั่วทั้งเมืองหลวง..ถึงขนาดสามีของหญิงสาวเหล่านั้นยังคุยโอ้อวดว่า ภรรยาของตน " เป็นสมบัติของรัสปูติน ผู้มีความสามารถอย่างเหลือเชื่อ " ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสร้างที่พักแบบชุดของเขา เพื่อเป็นที่พักก่อนที่จะเชิญสาวงามทั้งหลาย เข้าห้องนอนซึ่งเขาเรียกว่า ห้องศักดิ์สิทธิ์อันเป็นเขตหวงห้าม สตรีงามนางใดที่ไปกินเลี้ยงหรือแวดล้อมเขา เมื่อมีการร้องเพลงบ้างนั่งตักรัสปูติน และบ้างเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายก็ต้องเข้าไปสู่ห้องเขตหวงห้ามของเขาแทบทุกราย...
.....รัสปูตินมีความสัมพันธ์สวาทกับผู้หญิงทุกชนชั้นตั้งแต่สาวใช้ โสเภณีไปจนถึงชนชั้นสูงอย่างนักแสดง หรือภรรยาทหารก็ไม่เว้น เพียงแต่ใครจะยอมรับออกหน้าออกตาเท่านั้นเอง...แต่สุภาพสตรีที่ถือว่ามีชื่อเสียงที่สุดของรัสปูติน คือ องค์ซารีน่านั้นถึงแม้ไม่ถึงกับเป็นทาสสวาทแต่ก็มีการเขียนบทความ กลอน ต่าง ๆ อันเพราะพริ้งถึงรัสปูติน คือ จูบมือของพระคุณเจ้าและแนบศีรษะของลูกกับไหล่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้า แต่ภรรยาของเขาเองกับไม่เคยปริปากบ่นต่อการนอกใจของสามีของเขา เพียงแต่พูดว่ารัสปูตินเพียงพอสำหรับทุกคน
                
ค.ศ. 1914 สถานการณ์โลกไม่ค่อยดีนัก มีแววว่าสงครามโลกกำลังจะเกิดขึ้น รัสเซียเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนอดอยากแร้นแค้น พระเจ้าซาร์ทรงให้รัสปูตินลดๆ การจัดงานล้างบาปลงเสียบ้าง เพราะจะได้นำเงินไปใช้ทำสงคราม และดูแลประชาชน รัสปูตินไม่พอใจ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสปูตินก็แกล้งทำนายพระเจ้าซาร์ว่า พระเจ้าซาร์ต้องไปบัญชาการรบเอง รัสเซียจึงจะมีชัย เพื่อให้พระเจ้าซาร์ออกไปรบ และจักรพรรดินีอเล็กซานดรา ซึ่งเชื่อรัสปูตินแทบทุกอย่างได้ปฏิบัติหน้าที่แทน เพื่อรัสปูติน จะได้ทำตามใจตนเอง
ความเดือดร้อนที่ประชาชนแบกรับ ต่อมา ได้เกิดเป็นการประท้วง ตามด้วยการจราจล และการก่อการปฏิวัติ ทำให้พระเจ้าซาร์ ต้องกลับมาจากสนามรบ เมื่อกลับมา รัสปูตินก็ปรนเปรอพระเจ้าซาร์ด้วยงานเลี้ยงรื่นเริงเข้าไปอีก ทำให้พระเจ้าซาร์เริ่มปฏิบัติงานน้อยลง และฝากงานต่างๆ ให้รัสปูตินมากขึ้น จนแทบจะเรียกได้ว่า พระเจ้าซาร์ และจักรพรรดินีอเล็กซานดร้าเป็นหุ่นเชิดของรัสปูติน
การบริหารงานของรัสปูติน เริ่มสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชน จนเริ่มมีแววว่าจะเกิดความวุ่นวายในรัสเซีย และรัสปูตินเป็นที่เกลียดชังของใครๆ ที่จงรักภักดีแผ่นดินอย่างแท้จริง กับสมาชิกสภาดูมาบางคน โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้หนึ่งชื่อวลาดิเมียร์ ปูริชเกวิช ผู้เป็นทั้งนักพูดและนักเขียนที่มีคารมคมคายอย่างมาก ในสภาวันหนึ่งปูริชเกวิชลุกขึ้นอภิปรายโจมตีเนมกา (หญิงเยอรมัน หมายถึงพระราชินี) และรัสปูตินอย่างเผ็ดร้อน สมาชิกสภาส่วนใหญ่สนับสนุนปูริชเกวิชเป็นพิเศษ คือเจ้าชายเฟลิกซ์ ยุสซูปอฟสมาชิกสภาคนสำคัญและเป็นพระเจ้าหลานซาร์ด้วย
ค.ศ. 1916 เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูสชูปอฟ (Felix Yussupov) เห็นว่าเก็บรัสปูตินไว้จะเป็นภัยต่อชาติ จึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช (Grand Duke Dmitri Pavlovich) ลวงสังหารรัสปูติน โดยจะเชิญรัสปูตินไป โดยอ้างว่าเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ในวังเจ้าชาย และจะวางยาพิษไซยาไนด์ในเครื่องดื่มและเค้กของรัสปูติน
แผนการฆ่ารัสปูตินก็เริ่มขึ้น โดยการวางยาพิษ ดร. จาโซแวร์ต แพทย์ทหารเป็นผู้จัดหายา (ไซยาไนด์) สอดไส้ขนมเค้กและผสมเหล้ามาเดียราเตรียมไว้ โดยมีซูโคติน นายทหารอีกคนเป็นผู้ช่วย เจ้าชายยุสซูปอฟจะเป็นคนเชิญให้รัสปูตินกินขนมและดื่มสุราผสมยาพิษ โดยมีปูริชเกวิชและแกรนด์ดยุคดิมิตรีสหายสนิทของเจ้าชายคอยสังเกตการณ์อยู่ชั้นบน
สถานที่สังหารเป็นห้องใต้ดิน ณ วังมอยก้าของเจ้าชายยุสซูปอฟนั่นเอง โดยเจ้าชายจะเชิญรัสปูตินมาดื่มน้ำชา ขณะเดียวกันรัสปูตินมีความประสงค์แรงกล้าที่จะได้ยลโฉมเจ้าหญิงอิรีนาที่ร่ำลือกันว่างามนัก เมื่อรัสปูตินมาถึง เจ้าชายก็ตรัสให้รัสปูตินหลงไปว่าเจ้าหญิงทรงรอรับ แต่เผอิญยังมีแขกรับรองอยู่ ให้รัสปูตินรอที่ห้องใต้ดินก่อน ขณะเดียวกันเจ้าชายทรงให้เปิดเสียงเพลงจากหีบเสียงเบาๆ ประหนึ่งว่าเจ้าหญิงทรงกำลังมีแขกมาพบจริงๆ (ความจริงก็คือ เจ้าหญิงทรงพักตากอากาศอยู่ริมทะเลดำ ไกลจากวังเป็นร้อยๆ ไมล์)
ขณะรอ รัสปูตินหงุดหงิดพอควร เจ้าชายจึงทรงเชิญกินขนมเค้กและดื่มเหล้ามาเดียรา แรกทีเดียวรัสปูตินปฏิเสธ แต่ก็เปลี่ยนใจหยิบขนมเค้กกินไป 2 ก้อน ตามด้วยเหล้ามาเดียรา 2 แก้ว เจ้าชายทรงยิ้มอยู่ในใจ แต่ก็ต้องทรงตกพระทัยขึ้นโดยพลัน เพราะรัสปูตินน่าจะล้มลงสิ้นใจตายไปต่อหน้า แต่รัสปูตินไม่เป็นอะไรเลย ซ้ำยังขอให้เจ้าชายทรงดีดกีตาร์และร้องเพลงคลอ รัสปูตินนั่งฟังและยิ้มอย่างมีความสุข แม้เพลงจะจบไปหลายเพลงแล้วก็ตาม
ปูริชเกวิชและดยุคดิมิตรีซุ่มดูอย่างแสนจะอึดอัด แต่ก็ยังน้อยกว่าเจ้าชายมากนัก เจ้าชายทรงแทบจะเป็นลมล้มลงต่อหน้ารัสปูตินเองด้วยซ้ำ
เวลาล่วงไป 2 ชั่วโมง เจ้าชายจึงทรงวิ่งขึ้นบันไดมาต่อว่า ดร. ลาโซแวร์ตว่ายาพิษหมดอายุ แต่ ดร. ลาโซแวร์ตยืนยันว่ายาดี รัสปูตินน่าจะเป็นคนที่สวรรค์ส่งมาจริง ดยุคดิมิตรีนั้นถอดใจ บอกว่าแผนเหลวชวนเลิกและจะกลับบ้าน แต่เจ้าชายทรงยืนยันจะสังหารเอง ดยุคดิมิตรีจึงส่งปืนพกให้
เจ้าชายทรงถือปืนแอบหลังลงมา รัสปูตินกลับขอมาเดียราดื่มอีก ดื่มแล้วก็มีท่าทางคึกคักชวนไปเที่ยวบาร์ยิปซี-เราจะได้เห็นพระเจ้าในความคิด เห็นมนุษย์ในเนื้อหนัง-รัสปูตินบ่นพึมพำ เจ้าชายทรงชี้ให้รัสปูตินดูไม้กางเขนบนหลังตู้และให้สวดมนต์ พอเหยื่อหันไปเจ้าชายก็ทรงลั่นกระสุนตรงกลางหลังพอดี รัสปูตินร้องเสียงแหลมและล้มลงหงายกับพื้น พอสิ้นเสียงปืนพรรคพวกทั้งสี่ก็ลงมา ดร. ลาโซแวร์ตคลำชีพจรก็บอกว่าตายแล้ว แล้วทั้งสี่ก็สาละวนเตรียมขนศพ ปล่อยเจ้าชายทรงอยู่ตามลำพัง โดยไม่คาดฝันรัสปูตินบิดตัว ใบหน้ากระตุก ลืมตาซ้ายแล้วตาขวา ตาสีเขียวขุ่นกลอกไปมาและโกรธจัด น้ำลายฟูมปาก ผุดลุกขึ้นยืน พร้อมกับกระชากอินทรธนูเครื่องแบบทหารของเจ้าชายขาดไปข้างหนึ่ง เจ้าชายทรงตกพระทัยสุดขีดกระโดดหนีวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน รัสปูตินคลานสี่ตีนตามขึ้นไปพร้อมด่าเอ็ดอึง
ปูริชเกวิชได้ยินเสียงเจ้าชายทรงร้องให้ยิงอย่างร้อนรน ดวงตาเหลือกถลนแทบจะออกมานอกเบ้า วิ่งแล่นโลดเลยไปอีกห้องหนึ่ง
ปูริชเกวิชวิ่งตามรัสปูตินออกไปที่สนามวัง ซึ่งหิมะกำลังตกหนัก รัสปูตินตะโกนลั่น "ไอ้เฟลิกซ์ ไอ้เฟลิกซ์ ข้าจะฟ้องพระราชินี" ปูริชเกวิชแทบไม่เชื่อสายตาว่านั่นคือรัสปูตินที่เมื่อครู่นี้นอนตายสนิท กระนั้นก็ตามได้ลั่นกระสุนทันที2 นัดแรกผิด นัดที่ 3 ถูกไหล่ และนัดที่ 4 ถูกศีรษะ รัสปูตินผงะหงายหลังลงมาจากประตูเหล็ก พยายามจะลุกขึ้น แต่ลุกไม่ไหว นอนกัดฟันด้วยความแค้น ปูริชเกวิชถลันเข้าเตะเต็มแรงเข้าด้านขมับ พอดีเจ้าชายยุสซูปอฟทรงหายตกพระทัย ทรงถือไม้พลองมาด้วยอันหนึ่ง พลันกระหน่ำตีด้วยอารมณ์แค้นเคืองจนเลือดแดงท่วมหิมะ
ร่างรัสปูตินถูกห่อด้วยพรม ทิ้งลงในปล่องน้ำแข็งในแม่น้ำเนวา 3 วันต่อมามีผู้พบศพ จากการตรวจศพพบว่ารัสปูตินไม่ได้ตายเพราะยาพิษหรือฤทธิ์กระสุนปืน แต่ตายเพราะสำลักน้ำ!
รัสปูตินเสียชีวิตในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1916 รวมอายุ 47 ปี
สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินมีเรื่องเล่ากันว่ามีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บไปให้สาวใช้คนหนึ่งและปรากฏว่าได้พบสาวใช้ผู้นั้นอีกที่ปารีส ซึ่งยังเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี " สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมด " ไว้ในหีบไม้ขัดมัน....
ก่อนเสียชีวิต รัสปูตินสามารถทำนายอนาคตตนเองได้ว่ากำลังจะเสียชีวิตเร็วๆ นี้ และได้พบกับคำทำนายบางสิ่ง จึงเขียนคำทำนายฉบับสุดท้ายฝากคนรับใช้ให้ไปส่งให้พระเจ้าซาร์ ฉบับนั้น เขียนไว้ในทำนองว่า รัสปูติน จะเสียชีวิตก่อนที่พระเจ้าซาร์จะได้อ่านคำทำนายนี้ เมื่อรัสปูตินเสียชีวิตราชวงศ์โรมานอฟจะถูกโค่นล้มใน 2 ปี
ทุกอย่างในคำทำนายเป็นจริง รัสปูติน เสียชีวิตชีวิตก่อนที่คนใช้จะนำจดหมายคำทำนายไปถึงพระเจ้าซาร์ และเมื่อคนที่ฆ่ารัสปูตินเป็น "เจ้าชาย" ดังนั้น ค.ศ. 1917 เกิดการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟจริงๆ หนำซ้ำ ค.ศ. 1918 ราชวงศ์โรมานอฟถูกตัดสินโทษประหารทั้งตระกูล ไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลย
พระนางอเล็กซานดร้าทรงให้จัดการฝังศพรัสปูตินไว้ด้านหนึ่งในเขตพระราชวังซาสโกเซโล แล้ววันหนึ่งเมื่อฝ่ายบอลเชวิกชนะ ทหารที่เข้ามาเฝ้าวังได้ขุดศพรัสปูตินขึ้นมาเผาทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ
สมกับคำทำนายของเขาเองที่ได้เคยทำนายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าจะถูกทำลายย่อยยับเป็นธุลีไปในที่สุด

th.wikipedia.org/wiki/เกรกอรี_เยฟิโมวิช_รัสปูติน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น