Translate

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์




เคยมีใครแอบคิดสงสัยกันเล่นๆบ้างไหมครับว่าโลกของเราใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร และโลกเราเป็นดาวหนึ่งเดียวในจักรวาลเท่านั้นหรือที่มีสิ่งมีชีวิต?



ไม่ใช่เพียงแค่เราๆท่านๆแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนเท่านั้นหรอกครับที่สงสัย เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็กำลังให้ความสนใจในการหาคำตอบอยู่เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเซิร์น (CERN) ที่เขาจับเอาอนุภาคมาวิ่งวนเป็นวงกลม เร่งจนเข้าใกล้ความเร็วแสงแล้วบังคับให้มันชนกันตูมตามสนั่นหวั่นไหว การทดลองอันแสนเสี่ยงนี้ก็เพื่อที่จะหาคำตอบของ “กำเนิดจักรวาล” เช่นกันครับ



ภาพลายเส้นนาซกา "นักบินอวกาศ"


การชนกันของอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในการทดลองของเซิร์นนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาจจะค้นพบอนุภาคกำเนิดจักรวาลก็เป็นได้ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนให้คำตอบที่แน่ชัดของกำเนิดแห่งเอกภพได้เลยครับ

แต่ทว่าถ้ามองในอารยธรรมโบราณทั่วโลก ดูเหมือนพวกเขาจะตอบคำถามพวกนี้ได้ก่อนเราเสียแล้ว เพราะคำตอบของพวกเขาก็แสนง่ายและตรงไปตรงมา คนที่สร้างเอกภพและโลกก็คือ “พระเจ้า” ยังไงล่ะ!!

เพราะถ้าลองดูตำนานการสร้างโลกในอารยธรรมโบราณต่างๆทั้งอียิปต์ เมโสโปเตเมีย อเมริกาโบราณ พระคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งชนเผ่าอื่นๆในโลกโบราณแล้วก็จะเห็นว่า ณ จุดเริ่มต้นของการกำเนิดโลกล้วนมีแต่ความว่างเปล่า หลังจากนั้นพระเจ้าจึงเริ่มรังสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา ตามวิถีของแต่ละอารยธรรม แต่ที่แน่ๆทุกชนเผ่ากล่าวถึง “พระเจ้า” ทั้งสิ้น


ภาพสลักคล้ายอากาศยานในวิหารของฟาโรห์เซติที่ 1


ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากศูนย์จริงๆครับ เพราะจุดเริ่มต้นของเอกภพเมื่อ 14,000 ล้านปีที่แล้วก็มีขนาดเล็กเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น แต่เมื่อ “พระเจ้า” ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทำให้เกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบงขึ้น เอกภพก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อนุภาคมูลฐานต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จนสุดท้ายส่วนหนึ่งของมันก็ได้กลายมาเป็นบรรดาดวงดาวและโลกของเราในวันนี้

ถ้าเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า “โลก” ไม่ได้เป็นดาวเพียงแค่ดวงเดียวในเอกภพที่มีสิ่งมีชีวิตอันแสนชาญฉลาดอาศัยอยู่ เพราะดวงดาวทั้งหมดในเอกภพ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นคงจะมีเป็นหลักพันล้านดวงหรือมากกว่านั้น


แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นที่มีวิทยาการก้าวหน้ากว่าเราจะเคยเดินทางมายังโลกของเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เพื่อถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับบรรพบุรุษ!? ครั้งนี้เราจะมาตามหาหลักฐานต่างๆของ “เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์” กันครับ

สถานที่แห่งแรกที่อยากจะพาให้ทุกๆท่านได้ไปรับชมกันก็คือภาพวาดผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี (Kimberly Mountain) ทางตะวันตกของออสเตรเลีย เมื่อลองเพ่งพินิจพิจารณาภาพที่ปรากฏบนผนังถ้ำก็จะพบว่าแทนที่จะเป็นภาพของมนุษย์กำลังล่าสัตว์ หรือภาพสัตว์ป่าทั่วไปดังที่เราคุ้นเคย ชนเผ่าอะบอริจิน (Aborigine) แห่งออสเตรเลียกลุ่มนี้กลับวาดภาพของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดที่มีศีรษะกลมและมีดวงตาสีดำคู่ใหญ่ประดับอยู่ ชวนให้คิดถึง “เกรย์” (Grey) หรือมนุษย์ต่างดาวที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันเคยประสบพบเห็นกันเป็นอย่างมาก นักวิชาการเรียกภาพวาดเหล่านี้ว่า “แวนด์จินา” (Wandjina) ซึ่งชนเผ่าอะบอริจินนับถือเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของก้อนเมฆและฝน ภาพวาดเหล่านี้คาดว่าน่าจะวาดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นถึงสามหมื่นปีมาแล้ว

จากนั้นเราข้ามทะเลมายังดินแดนทวีปแอฟริกากันบ้างครับ ในทะเลทรายซาฮาร่า ถ้ำในภูเขาทัสซีลี (Tassili) ทางตอนเหนือของแอฟริกาปรากฏภาพวาดอายุร่วมแปดพันปีของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหมือนมนุษย์แต่มีศีรษะกลมเกลี้ยงคล้ายกับว่าสวมหมวกของชุดอวกาศอยู่ก็ไม่ปาน อีกทั้งเมื่อลองมองไปที่มุมขวาบนของภาพนักบินอวกาศโบราณแห่งแอฟริการ่างนี้แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นภาพของวงรีปริศนาคล้ายจานบินปรากฏอยู่เคียงกัน ซึ่งยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลของภาพวาดปริศนานี้ได้อย่างแน่ชัดเลยสักราย


ภาพปริศนา คล้ายมนุษย์ต่างดาวบนผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี


ชนเผ่าโฮปี (Hopi) ในรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกาก็มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า  บรรพบุรุษของพวกเขาเดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น และเยี่ยมเยียนดาวดวงอื่นๆมามากมายก่อนที่จะสิ้นสุดจุดหมายปลายทางลงที่โลกของเราใบนี้ ภาพสลักมากมายของชนเผ่าโฮปีเป็นภาพที่ดูแล้วยากที่จะอธิบายว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ภาพของมนุษย์ที่ปรากฏก็ดูไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก

นอกจากตำนานต่างๆที่เล่าไปแล้ว ก็ยังมีภาพของนักบินอวกาศโบราณอีกมากมายที่โชว์ตัวกันบนผนังถ้ำเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดอายุราวหมื่นปีจากประเทศอิตาลี ที่แสดงภาพของมนุษย์ที่เสมือนว่าอยู่ในชุดอวกาศสองคนในท่าทางที่คล้ายกับว่า กำลังล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศนอกโลก และภาพวาดบนผนังถ้ำจากรัฐยูทาห์ (Utah) สหรัฐอเมริกา อายุประมาณ 7,500 ปีที่แสดงภาพของมนุษย์ประหลาด ผิวสีแดงมีดวงตากลมโตผิดปกติ บางคนดูเหมือนสวมหมวก บางคนมีเสาประหลาดโผล่ออกมาจากศีรษะ ประหนึ่งเป็นเครื่องส่งสัญญาณของชุดอวกาศยังไงยังงั้น!!

แน่นอนครับว่าเราไม่มีทางเข้าใจนามธรรมของชนเผ่าโบราณเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถ (และไม่สมควร) สรุปอย่างแน่ชัดว่ารูปที่เห็นนี้จะเป็นมนุษย์ต่างดาวดึกดำบรรพ์ที่มาเยือนชนเผ่าโบราณของเรา เพราะถ้าวิเคราะห์จากภาพวาดผนังถ้ำทั่วไปแล้วก็จะพบว่า คนสมัยโบราณเมื่อกว่าหมื่นปีที่แล้วส่วนใหญ่ไม่ค่อยสลักภาพของมนุษย์ในลักษณะสมจริงถึงขั้น “ภาพเหมือน” เท่าใดนัก ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับลัทธิพิธีกรรมต่างๆที่ประกอบกันในยุคโบราณมากกว่า


รูปวาดบนผนังถ้ำในแอฟริกา คล้ายมนุษย์สวมชุดอวกาศ


แล้วนอกจากภาพวาดผนังถ้ำล่ะ มีหลักฐานอื่นที่พูดถึงเอเลี่ยนดึกดำบรรพ์อีกไหม-ต้องตอบว่ามีเยอะเลยครับ

ตัวอย่างที่น่าจะ ค่อนข้างชัดเจนที่บ่งบอกถึงการมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของอารยธรรมโบราณก็คือบรรดาสิ่งประดิษฐ์ผิดยุคผิดสมัยที่ปรากฏในอารยธรรมนั้นๆนั่นเองครับ อียิปต์โบราณ ก็มีภาพสลักหนึ่งแห่งกับสิ่งประดิษฐ์อีกหนึ่งชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าเกินมนุษย์มนาของชาวไอยคุปต์ นั่นก็คือเรื่องของ “ยานบิน” ครับ นักอียิปต์วิทยาค้นพบภาพสลักรูปเฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำและยานอวกาศในวิหารของฟาโรห์ เซติที่ 1 (Sety I) ในนครอไบดอส (Abydos) อีกทั้งยังค้นพบโมเดลเครื่องร่อนในสุสานจากนครซัคคาร่า (Saqqara) แต่นักอียิปต์วิทยาตรวจสอบแล้วว่าภาพสลักเฮลิคอปเตอร์บนผนังวิหารนั้นเป็นเพียงแค่ความบังเอิญของการสลักซ้ำโดยฟาโรห์สองพระองค์เท่านั้น ส่วนเครื่องร่อนจากซัคคาร่าก็ออกแบบมาได้ผิดหลักอากาศพลศาสตร์ ไม่มีเสถียรภาพทางการบิน และคงไม่สามารถบินได้จริงเป็นแน่แท้

ถ้าลองข้ามมาที่ประเทศโคลอมเบียในอเมริกาใต้ ก็ยังคงต้องประหลาด ใจกับเครื่องประดับทำจากทองคำอายุเกือบสองพันปีรูปร่างแปลกตาที่คล้ายคลึงกับเครื่องบินความเร็วสูงสมัยใหม่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน มันออกแบบมาได้ตามหลักอากาศพลศาสตร์มากกว่าโมเดลเครื่องร่อนของชาวไอยคุปต์เสียอีกครับ วิศวกรชาวเยอรมันสามคนได้ทำการจำลองเครื่องประดับโบราณนี้ออกมาเป็นเครื่องร่อนขนาดอัตราส่วน 16 : 1 ซึ่งผลการบินก็ออกมาสวยหรูจนน่าตกใจว่าเครื่องประดับโบราณแห่งโคลอมเบียเหล่านี้ เหตุใดจึงมีเสถียรภาพทางการบินที่ดีเหลือเชื่อ


ภาพวาดจากรัฐยูทาห์ บางภาพดูเหมือนมีเสาส่งสัญญาณบนศีรษะ


อีกหนึ่งหลักฐานที่นักลึกลับศาสตร์จากทั่วโลกใช้อ้างอิงถึงการมีตัวตนและการติดต่อกับพระเจ้าจากอวกาศของชนเผ่าโบราณก็คือบรรดาภาพสลักที่ต้องมองจากฟากฟ้าเท่านั้นจึงจะเห็น พูดง่ายๆว่ามนุษย์เดินดินอย่างเราๆ ถ้ายืนอยู่บนดิน ก็คงเดาไม่ได้แน่ๆว่าลายเส้นพวกนั้นคือรูปของอะไร ดังนั้นจึงมีคำถามขึ้นมาว่า ถ้าคนธรรมดาเดินดินมองไม่เห็นเป็นภาพ แล้วพวกคนโบราณสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร อีกทั้งพวกเขาทำเอาไว้ให้ใครดู ถ้าไม่ใช่ “เอเลี่ยน” จากนอกโลก!?

สถานที่ที่เข้าข่ายจัดทำเอาไว้เพื่อให้ “พระเจ้า” จากนอกโลกได้ดู ก็มีอยู่หลายที่ด้วยกันครับ ที่ชัดเจนที่สุดคงจะหนีไม่พ้นลายเส้นนาซกา (Nazca Line) ที่เปรู ซึ่งมีมากมายหลายรูปแบบทั้งลายขดก้นหอย สุนัข แมงมุม ลิง ปลาวาฬ แต่คงไม่มีภาพใดในนาซกาที่จะน่าทึ่งไปกว่าภาพ “นักบินอวกาศ” อีกแล้ว!!

ภาพลายเส้นนักบินอวกาศนี้มีความสูงกว่า 30 เมตร เมื่อมองลงมาจากมุมสูงก็จะเห็นเป็นภาพของมนุษย์ศีรษะกลมเกลี้ยง ดวงตาใหญ่ กำลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกประหนึ่งกำลังทักทายใครจากนอกโลก



ลายเส้นนาซกา ต้องมองจากบนฟ้าจึงจะเห็นเป็นภาพ


แต่ภาพลายเส้นที่ต้องมองจากบนฟากฟ้าก็ไม่ได้มีเพียงแต่นาซกาที่เดียว ข้ามทวีปจากเปรูมายังอังกฤษกันบ้างก็จะพบว่ามีลายเส้นที่คล้ายคลึงกับนาซกาเช่นกันครับ ภาพที่ว่าได้รับการตั้งชื่ออย่างเสนาะหูว่า “อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์” (Berk-shire White Horse) ซึ่งมีความเก่าแก่ถึงช่วงยุคเหล็กของอังกฤษหรือเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสต์กาลเลยทีเดียวครับ เนินเขาที่อาชาขาวรูปนี้ปรากฏอยู่เป็นเนินหินชอล์ก ซึ่งวิธีการวาดภาพก็เพียงแค่ถอนต้นหญ้าออกจากบริเวณที่ต้องการสร้างลวดลาย เผยให้เห็นหินชอล์กสีขาวด้านล่าง แต่จุดที่สำคัญก็คือประเพณีการถอนหญ้านี้ต้องสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รูปจำหลักยังคงปรากฏอยู่ต่อไป

คนที่รังสรรค์ลายเส้นนาซกาและอาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์คงจะหนีไม่พ้นชนเผ่าพื้นเมืองในบริเวณนั้นๆ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาสร้างรูปเหล่านี้ขึ้นมาให้ใครดูกัน!? ถ้าภาพต่างๆเหล่านี้ มองเห็นได้จากฟากฟ้าเท่านั้น


อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์ที่มองเห็นได้จากมุมสูงเท่านั้น


ทั้งหมดทั้งมวลที่นำเสนอไป ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนหรือหักล้างทฤษฎีมนุษย์อวกาศโบราณเสียเลยทีเดียวหรอกครับ เพราะยังไม่มีใครทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในสมัยโบราณ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือประเด็นพิศวงต่างๆล้วนเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเสมือนว่ามีใครสักคนมาสอนให้มนุษย์ทั่วโลกทำในสิ่งเดียวกันยังไง
ยังงั้นก็ไม่แน่นะครับ ใครจะไปรู้ว่าเอกภพอันยิ่งใหญ่ของเราอาจจะเป็นผลลัพธ์ในการทดลองยิงอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในห้องทดลองของใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกลก็เป็นได้



ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_5474.html#ixzz2KxP3VRS5 

ผีดูดเลือดตัวเป็นๆ!!ถูกจับได้


ผีดูดเลือด!!! ตัวเป็นๆ ถูกจับได้ พบ ชีวิตสุดรันทด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชายชาวตุรกีไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่งมีพฤติกรรมเหมือน ‘ผีดูดเลือด’ หรือ ‘แวมไพร์’ โดยดื่มเลือดของตัวเองจนติด จากนั้นออกล่าเหยื่อโดยแทงคนอื่นเป็นแผลเพื่อดื่มเลือด
แพทย์ในตุรกีเปิดเผยถึงพฤติกรรมของชายคนนี้ว่า เขากลายเป็น ‘แวมไพร์’ เพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทั้งจากการสูญเสียลูกสาววัย 4 เดือน และเห็นการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา
รายงานจากวารสารจิตบำบัดระบุว่าเขาเริ่มดื่มเลือดมนุษย์ โดยใช้มีดโกนกรีดที่แขน หน้าอกและท้อง แล้วใช้ถ้วยรองเลือดเพื่อดื่มจนติดการดื่มเลือด
จนบางครั้งต้องให้พ่อไปซื้อมาจากธนาคารเลือดแล้วนำมาดื่ม แล้วพัฒนาไปถึงขั้นใช้มีดแทงหรือกัดคนอื่นเพื่อดื่มเลือด
นอกจากนี้รายงานยังระบุว่าเขามีหลายบุคลิกและมีอาการความจำเสื่อม โดยเฉพาะขณะจู่โจมเหยื่อ เขาจะไม่มีสติคิดว่าเขากำลังทำอะไรและเหยื่อเป็นใคร และจำเหตุการณ์ตอนที่ทำร้ายเหยื่อไม่ได้
แพทย์ผู้วิจัยเรื่องนี้เชื่อว่า พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากการเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาฆ่าผู้อื่นโดยตัดศีรษะและอวัยะเพศ และความเศร้าโศกจากการเสียชีวิตของลูกสาววัย 4 เดือน รวมถึงลุงของเขาที่ถูกฆาตกรรมด้วย
คณะแพทย์จากโรงพยาบาลทหารทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกีวินิจฉัยว่า ชายคนนี้เป็นโรค ′อาการป่วยทางจิตเนื่องจากการประสบกับการทารุณ (โดยมากเป็นการทารุณทางเพศ)′หรือ ′dissociative identity disorder ′ (DID)
และเพื่อต้องการหนีจากความเจ็บปวดที่เกิดกับจิตใจ ผู้ป่วยจึงเกิดการแบ่งแยกบุคลิกและสูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวในแงอุปนิสัย นอกจากนี้ยังเป็นโรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
จากการศึกษาค้นคว้าแพทย์ระบุว่าชายคนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยรายแรกที่ป่วยเป็นโรค ‘ผีดูดเลือด’ (vampirism) และ DID ซึ่งโรค DID มักจะเชื่อมโยงไปถึงการถูกการละเมิดและการถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก
แม่ของชายผู้ป่วยเป็นโรคผีดูดเลือดเปิดเผยว่าลูกชายเคยถูกล่วงละเมิดเมื่อตอนวัยรุ่น แต่เขากลับบอกว่าเขาจำอะไรในวัยเด็กระหว่างอายุ 5- 11ปีไม่ได้เลย และบอกว่าเขาถูกเพื่อนในจินตนาการบังคับให้เขาต้องก่อเหตุรุนแรงและพยายามฆ่าตัวตาย
หลังจากการรักษา 6 สัปดาห์ แพทย์กล่าวว่าเขามีอาการดีขึ้นแต่อาการป่วยทางจิตยังคงมีอยู่ และยาที่ให้ก็มีเพียงยานอนหลับเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้ช่วยรักษาอาการของเขา
นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการดื่มเลือดไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย เพียงแต่ร่างกายมนุษย์จะปรับตัวในการย่อยเลือดมนุษย์ได้ไม่ดีนัก และการดื่มเลือดมนุษย์ในปริมาณน้อยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
แต่ถ้าดื่มบ่อยๆ จะมีความเสี่ยงที่จะเป็น ‘โรคธาตุเหล็กเกิน’ (haemochromatosis) หรืออาจติดโรค เช่น เอดส์จากเลือดของคนที่มีเชื้อได้

ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_10.html#ixzz2KsqSZgb0

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สร้างตึกบนพระจันทร์ด้วยดินธรรมชาติ



สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ผู้ออกแบบสนามฟุตบอลเวมบลี่ย์ ได้ออกแบบอาคาร ซึ่งจะไปก่อสร้างขึ้นบนดวงจันทร์โดยจะสร้างด้วยวัสดุที่มีอยู่บนนั้น
ตามแผนการ โครงของอาคารซึ่งเป่าให้พองขึ้นได้ จะถูกส่งขึ้นไปจากโลก จากนั้นจะหุ้มด้วยผนังที่จะสร้างขึ้นโดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งจะทำงานด้วยระบบหุ่นยนต์ จะใช้ดินและหินของดวงจันทร์เป็นวัตถุดิบ
ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน เคยศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2553 พบว่า หินของดวงจันทร์ ประกอบด้วยอะลูมิเนียม แคลเซียม เหล็ก และแมกนีเซียมออกไซด์ ซึ่งสามารถจะนำมาเป็นวัตถุดิบ ของเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติได้
ก่อนหน้านี้ บริษัทอุตสาหกรรมจักรวาลอันไกลโพ้นของสหรัฐฯ ประกาศเมื่ออาทิตย์ก่อนว่า มีแผนการจะไปขุดแร่ธาตุจากดาวเคราะห์น้อย โดยจะสร้างยานอวกาศสำรวจด้วยเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติ บริษัทได้สั่งสร้างเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติขึ้นแล้ว คิดว่าจะลงมือผลิตได้ใน พ.ศ.2563 นี้.


ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_13.html#ixzz2Ksliy4iZ 

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

จีนหนาวจัด น้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง

สภาพอากาศที่หนาวเย็นในจีน ทำให้บางพื้นที่เกิดพายุหิมะตกหนัก เป็นอุปสรรคต่อเที่ยวบินนับร้อยเที่ยว อุณหภูมิที่ติดลบทำให้แหล่งน้ำกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง


อย่างเช่น บริเวณหุบเขาจุ้ยซาย ในเขตจิ่วไจ้โกว  มณฑลเสฉวน สายน้ำที่ตกจากโขดหินถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง   ก่อตัวเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งคาดว่า ต้องรอจนถึงปลายเดือนมีนาคม หรือ ต้นเดือนเมษายน กว่าน้ำแข็งจะละลาย และน้ำตกจะกลับมางดงามได้เหมือนเดิม



ทั้งนี้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาจีน ระบุว่า อุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงติดลบ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากแนวความหนาวเย็นจากขั้วโลกเหนือเคลื่อนตัวลงมาทางใต้  จึงทำให้บางพื้นที่ หนาวที่สุดในรอบหลายๆปีทีเดียว





ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_21.html#ixzz2J42yWyGU
ขอบคุณครับที่ใส่เครดิต

พบวัตถุลึกลับบินโผล่เหนือผิวดวงจันทร์





สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มนุษย์กำลังค้นหาว่า บนดวงจันทร์ หรือดาวอื่นๆ นั้นประกอบไปด้วยแหล่งน้ำ และสิ่งมีชีวิตที่จะเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีพหรือไม่

คลิปวีดิโอที่อัพโหลดโดยผู้ใช้ที่ชื่อว่า danchek2013 ในเว็บไซต์ยูทูป อ้างว่า พบวัตถุลึกลับบินเหนือบริเวณพื้นผิวดวงจันทร์  โดยยานดังกล่าวปรากฏจากเงามืดก่อนจะเห็นเคลื่อนที่อย่างชัดเจน ด้วยการเร่งความเร็วพร้อมกับเปลี่ยนทิศทางอย่างกระทันหัน นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นกลุ่มควัน คล้ายกับเครื่องบิน แต่ไม่สามารถระบุแน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่



บ้างก็ว่าเป็นนก ดาวหาง หรือยานจากดาวอื่นๆ เพราะการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเช่นนี้ ไม่น่าจะใช่ยานของมวลมนุษย์ หรือสัตว์สิ่งมีชีวิต และบางส่วนก็มองว่า เป็นการสร้างคอมพิวเตอร์กราฟิกขึ้นมาเท่านั้น












ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_537.html#ixzz2J41Uq3wi

อีก12ปีข้างหน้าได้ "ฮัลโหล"กับมนุษย์ต่างดาวแน่



ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจานบินชั้นนำประกาศว่า จะคอยให้มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุ ยักษ์ที่สุดเสร็จลงภายในเวลา 12 ปีเสียก่อน มนุษย์ก็จะได้พบปะหน้าค่าตามนุษย์ต่างดาวกันอย่างแน่นอน

เขาบอกว่า ขณะนี้กำลังจะมีการสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดยักษ์มูลค่า 6.5 พันล้านบาท หากเสร็จเมื่อใด ก็จะสามารถตอบปัญหาที่ชาวโลกอยากรู้ อย่างเช่นว่า มีมนุษย์ต่างดาวอยู่หรือไม่ เพราะกล้องยักษ์นี้จะช่วยเปิดหนทางใหม่และน่าตื่นเต้นให้ “เชื่อว่าจะต้องได้พบปะเห็นกันแน่ภายในปี พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นกำหนดที่กล้องโทรทรรศน์ยักษ์แล้วเสร็จ”

โดยจะลงมือสร้างกล้องในปี พ.ศ.2559 นี้ ประกอบด้วยจาน เสาอากาศเรือนพันต้นตั้งอยู่ในพื้นที่กว้าง 4,921 ตร.กม.ของท้องถิ่นกันดารของออสเตรเลีย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันจะสามารถทำให้มองเห็นจักรวาลได้ไกลลึกเข้าไปอย่างที่กล้อง โทรทรรศน์ธรรมดาไม่อาจทำได้ อย่างเช่นมีกำลังขยายถึง 50 เท่า และกวาดมองฟ้าได้เร็วขึ้นกว่ากล้องโทรทรรศน์ต่างๆถึง 10,000 เท่า “ถ้าหากมีอารยธรรมอยู่ภายในระยะไกลไม่เกิน 100 ปีแสง จะต้องพานพบจนได้”.





ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/12.html#ixzz2J40gWpfm

ค้นพบสิ่งมีชีวิตนอกโลก ในอุกาบาต





10 มกราคม 2013 นักวิทยาศาสตร์ Chandra Wickramasinghe ออกมาเปิดเผยข้อมูล ในวารสารจักรวาลวิทยา (Journal of Cosmology)


จากอุกกาบาตที่ตกเมื่อ 29 เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นหลักฐานยืนยันอีกชิ้นของสิ่งมีชีวิตต่างดาว




Chandra Wickramasinghe




ก่อนหน้านี้เดือนธันวาคม มีลูกไฟลึกลับ ปรากฏบนท้องฟ้าาเหนือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่เมืองธนามัลวิลา
หลายคนเชื่อว่า แสงประหลาดที่พบเห็นอยู่บนท้องฟ้าอาจเป็นวัตถุบินของสิ่งมีชีวิตนอกโลก (UFO)




ศรีลังกาแตกตื่น! พบแสงปริศนาบนท้องฟ้า เชื่อเป็น UFO








 ที่มาhttp://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/polonnaruwa.html#ixzz2J3zcct1E 

นาซ่าพบหลักฐาน ทะเลสาบโบราณบนดาวอังคาร







สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) เปิดเผยว่า ยานอวกาศสหรัฐ “มาร์ส รีคอนเนสซองซ์ ออร์บิทเตอร์”(เอ็มอาร์โอ) ที่โคจรรอบดาวอังคารพบหลักฐาน  หลุมทะเลสาบโบราณที่หล่อเลี้ยงด้วยน้ำใต้ดิน





ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า หลักฐานใหม่ที่พบ ช่วยบ่งบอกประวัติศาสตร์ยุคแรกของดาวอังคารได้อย่างดี   โดยข้อมูลที่ส่งมาจากยานอวกาศสำรวจดาวอังคาร(เอ็มอาร์โอ) แสดงร่องรอยของสารคาร์บอเนต และดินในหลุมแมคลาฟลิน ที่มีความลึกประมาณ 2.2 กิโลเมตร

ทำให้เชื่อว่า หลุมนี้เคยเป็นทะเลสาบมาก่อน และอาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ด้วย
โดยเทียบเคียงกับสภาพแวดล้อมบนโลกที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต และเห็นการสะสมตัวของดินยุคเก่าแก่ที่สุดของผิวดาวอังคาร



โดยนายริช ซูเร็ค นักวิทยาศาสตร์ของยานเอ็มอาร์โอ ระบุว่า การค้นพบครั้งล่าสุดบ่งชี้ว่า ดาวอังคารมีความซับซ้อนมากกว่าที่คาดไว้ และในบางพื้นที่น่าจะมีการเผยสัญญาณของสิ่งมีชีวิตโบราณ ส่วนยานคิวริออสซิติอีกลำของนาซ่าได้สำรวจพื้นผิวบนดาวอังคาร นับตั้งแต่ลงจอดเมื่อวันที่ 6 สิงหาคมปีที่แล้ว เพื่อเก็บตัวอย่างหินต่างๆ พร้อมกับส่งภาพกลับมายังพื้นโลก



ก่อนหน้า Nasa ได้เปิดเผย ภาพใหม่อันน่าอัศจรรย์ ของแม่น้ำบนดาวอังคาร

โครงสร้างลักษณะของแม่น้ำ ความกว้าง 4 ไมล์ (6.4 กิโลเมตร)
ยาว 900 ไมล์ (1440 กิโลเมตร) และลึก 400 เมตร 







ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_22.html#ixzz2J3xSM57c

สัตว์ประหลาดที่มีตราประทับ


 




สัตว์ประหลาดที่มีตราประทับ คาดว่าจะเป็นสัตว์ทดลองทางพันธุวิศวกรรม  มันมีหางอ้วนใหญ่ และมีขาเล็กๆ หลายขาด้วย
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=64YB1xgphMc

นาซ่าเตือน"ดวงอาทิตย์ปล่อยสารโคโรนา"มหาศาลพุ่งใส่โลกในอีก3วัน ระบบสื่ิสาร-ไฟฟ้า อาจมีปัญหา





สำนักงานบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (24) ว่า เกิดอนุภาคพลังงานสูงจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากโคโรนาของดวงอาทิตย์ เมื่อช่วงเช้าวันพุธ (23) ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีก้อนมวลสารโคโรนา (ซีเอ็มอี ) จำนวนมหาศาลจากดวงอาทิตย์ กำลังมุ่งหน้ามายังโลกของเราด้วยความเร็วสูง และคาดว่าจะถึงชั้นบรรยากาศของโลกภายใน 1 ถึง 3 วันข้างหน้า

ข้อมูลขององค์การนาซาและองค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) ระบุตรงกันว่า ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์พ่นมวลโคโรนาที่เกิดขึ้นส่งผลให้มวลสารดังกล่าวพุ่งกระจายออกมาจากดวงอาทิตย์ และกำลังเคลื่อนตัวมุ่งหน้ามายังโลกของเราด้วยความเร็วประมาณ “375 ไมล์ต่อวินาที” โดยคาดว่าจะเดินทางมาถึงยังชั้นบรรยากาศของโลกของเราภายใน 24-72 ชั่วโมงข้างหน้านี้ พร้อมเตือนประเทศต่างๆ เตรียมหาทางรับมือ

ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงอาทิตย์ของนาซาระบุว่า ซีเอ็มอีซึ่งเกิดจากอนุภาคพลังงานสูงจำนวนมากที่พุ่งออกมาจากโคโรนาของดวงอาทิตย์นั้น สามารถเทียบได้กับระเบิดปรมาณูที่กองทัพสหรัฐฯใช้ทำลายเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นับแสนล้านลูก


ทั้งนี้ เมื่อซีเอ็มอีเคลื่อนตัวพุ่งเข้ามาปะทะกับชั้น “แมกนีโทสเฟียร์” ซึ่งเป็นชั้นสนามแม่เหล็กโลก จะส่งผลให้เส้นแรงแม่เหล็กของโลกเกิดการยุบตัวลง และอาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “พายุแม่เหล็กโลก” ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ระบบส่งกำลังไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้าบนพื้นโลกอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และอาจทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่หลายส่วนของโลก นอกจากนั้น พลังงานจากซีเอ็มอี ยังสามารถทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนดาวเทียม หรือยานสำรวจอวกาศต่างๆ ได้เช่นเดียวกับระบบนำทาง “จีพีเอส”



 : ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/3.html#ixzz2J3vC9YOC 

เดอะ ฟลายอิ้ง ดัตช์แมนเรือปีศาจ

ตำนาน เรือปิศาจ Flying Dutchman



เมื่อพูดถึงเรือปิศาจ หรือ เรือผีสิง ที่ขึ้นชื่อว่าโด่งดังที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องของ เรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน Flying Dutchman ("De Vliegende Hollander") ตามตำนานว่ากันว่าเป็นเรือผีสิงที่ต้องท่องไปในน่านน้ำไม่มีวันสิ้นสุด หรือไม่ก็จนกว่าโลกจะแตกไปข้างหนึ่ง วันดีคืนดีอาจมาปรากฏให้นักเดินทะเลสยองเล่นๆ ตามน่านน้ำต่างๆ ในรูปของเรือสำเภาสามใบเสา และกัปตันผู้ซึ่งยังแต่งกายในแบบศตวรรษเก่า ยกตัวอย่างก็เมื่อปี ค.ศ. 1892 ที่อ่าวเวสตัน ในเท็กซัส มีผู้เห็นเรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน ถึงสองครั้ง เป็นเรือที่มีแสงเรืองน่ากลัว ที่หัวเรือมีกัปตันเรือยืนอยู่ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว กรีดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งชวนขนลุก



เรือ Flying Dutchman หรือมีชื่อเรียกในภาษาดัชท์คือ "De Vliegende Hollander" เป็นเรือปิศาจที่พบเห็นได้มากที่สุดในบริเวณแหลมกู๊ดโฮบ Cape of Good Hope ทวีปอัพฟริกาใต้ เรื่องเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เรือ Flying Dutchman เป็นเรือของบริษัท Dutch East India Company เป็นเรือบรรทุกสินค้าอยู่ภายใต้การควบคุมของกัปตันเรือ van der Decken ที่มีจิตใจเหี้ยมโหดและไม่นับถือพระเจ้า ในปี ค.ศ. 1680 ได้เดินทางไปถึงดินแดนทางตะวันออกซึ่งสมัยนั้นถือว่าไกลมาก ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี และกำลังนำเรือกลับประเทศฮอลแลนด์เมืองบ้านเกิด ขณะแล่นผ่านมาถึงบริเวณแหลมกู๊ดโฮบ ได้เกิดพายุขนาดใหญ่ขึ้น เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้ถูกพายุพัดถล่มอย่างหนัก หลังจากที่เรือต่อสู้กับพายุได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงจนเรือออกไปนอกเส้นทาง เดินเรือและกระแทกหินโสโครกจมลงหายไปพร้อมกับชีวิตคนบนเรือทั้งหมด ทุกคนเชื่อว่าพระเป็นเจ้าได้พิพากษาลงโทษกัปตันและเรือลำนั้นด้วยพายุที่ เกิดขึ้นลูกนั้น เล่ากันว่า ระหว่างที่อยู่ในพายุนั้นกัปตัน van der Decken ซึ่งไม่ยอมแพ้ต่อพายุได้ตะโกนขึ้นว่า "I will round this Cape even if I have to keep sailing until doomsday! ( ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวันสิ้นสุดของโลกก็ตาม )

ได้มีตำนาน เล่าขานต่อมาว่าเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้กลับมาปรากฏตัวให้คนเห็นหลายๆ ครั้ง อย่างเช่นในปี ค.ศ. 1881 คนประจำเรือของ เจ้าชายจอรจ์ Prince George (ต่อมาเจ้าชายจอรจ์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ใช้พระนามว่าพระเจ้าจอร์จ์ที่ 5) ได้มองเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนปรากฎตัวขึ้นด้านหัวเรือ และหลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็เสียชีวิตด้วยการพลัดตกจนเสากระโดงเรือ ในปี ค.ศ. 1881 เช่นกัน มีเรือสินค้าชาติสวีเดนลำหนึ่งแล่นผ่านบริเวณที่เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนจม ทันทีที่คนประจำเรือบนเสากระโดงได้เห็น เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน ปรากฎตัวขึ้น เขาก็พลัดตกจากเสากระโดงเรือลงมาตาย ก่อนตายเขาได้พูดว่าเขาได้เห็น เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน กัปตันเรือได้ส่งคนประจำเรือคนที่สองปีนขึ้นเสากระโดงเพื่อขึ้นไปดูและเขาก็ เสียชีวิตในสองวันต่อมา หลายปีต่อมามีเรือสัญชาติอเมริกาแล่นผ่านเข้ามาในบริเวณแหลมกู๊ดโฮป เรือลำนี้ชื่อ Relentless และพบกับเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน กัปตันเรือได้ออกคำสั่งให้นายท้ายเรือหันหัวเรือไปยังเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนเพื่อเข้าไปดูให้เห็นชัดขึ้น แต่นายท้ายเรือก็ไม่ได้หันหัวเรือไปตามคำสั่ง กัปตันไปดูกลับพบนายท้ายเรือนอนตายอยู่ที่พังงาถือท้ายเรือ และในคืนนั้นยังพบว่าคนประจำเรือสามคนได้หายตัวไปจากเรืออีกด้วย



ยังมีตำนานเล่าขานถึงการปรากฏตัวเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนอีกว่า ในปี ค.ศ. 1911โดยเรือชื่อ Orkney Belle เป็นผู้พบเห็นขณะเดินทางข้ามแหลมกู๊ดโฮป ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 มีคนมากกว่า 60 คนเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแล่นออกจากชายหาดผ่านพวกเขาไปและวิ่งหายไปในความมืดของทะเล ปี ค.ศ. 1942 ผู้บังคับการเรือดำน้ำ U boats พลเรือตรี Karl Doenitz แห่งราชนาวีเยอรมัน ได้บันทึกในปูมเรือว่าพบเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแล่นผ่านเรือของเขาไป และในปี ค.ศ. 1942 เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้ถูกพบโดยเรือรบหลวง H.M.S. Jubilee ผู้บังคับการเรือ Nicholas Monsarrat ได้พบและพยายามส่งสัญญาณไปยังเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแต่ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบกลับมา เขาได้บันทึกไว้ในปูมเรือว่าพบเรือใบไม่ทราบประเภทชั้นเรือแล่นผ่านไปภายใต้ สภาวะที่ไม่มีกระแสลมพัดอยู่เลย ในปี ค.ศ. 1943 คนจำนวน 4 คนในเมือง Cape Town ได้เห็นเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนแล่นหายไปทางด้านหลังของเกาะ ในปี ค.ศ. 1959 กัปตันเรือ Staat Magelhaen พบว่าเรือกำลังมุ่งหน้าพุ่งเข้าชนกับเรืออีกลำหนึ่ง เรือลำนั้นก็คือเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน แต่พอเรือเข้าใกล้จะชนปรากฏว่าเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนได้หายตัวไป และยังมีอีกหลายครั้งที่เกิดพายุใหญ่บริเวณประภาคาร Cape light house มีบันทึกรายงานว่าได้พบเจอเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนมาปรากฎให้เห็น (เมือง Cape Town สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 17 โดย Jan van Riebeeck ตัวแทนของบริษัท Dutch East India Company เหตุที่สร้าง Cape Town ขึ้นมา เพราะมีแผนจะแยกแหลม Cape ออกจากทวีปแอฟริกาด้วยการขุดคลองตัดผ่านคาบสมุทร แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมยุติแผนดังกล่าว ปัจจุบันจึงมีเพียงแนวป่าต้นอัลมอนด์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความพยายามแยกตัวในครั้งนั้นหลงเหลือไว้เป็นอนุสรณ์)


การปรากฏตัวของ เรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมน

ตามตำนาน ยังกล่าวกันว่า เรือลำนี้มีตำนานมาจากเรื่องเล่าสองเรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องของผีและกัปตันที่มีชื่อว่า แวนเดอเดคเคน (Captain Van Der Decken) ซึ่งเป็นคนที่นอกจากจะไม่นับถือพระเจ้าแล้วยังลบหลู่อย่างร้ายกาจอีกด้วย ส่วนเรื่องที่สองเป็นของนักเดินเรือที่ชื่อว่า เบอร์นาร์ด โฟคค์ คนนี้ทำสัญญากับปิศาจว่าจะยอมอยู่ในอาณัติของมันหากช่วยให้เขาเดินทางไปถึง อีสต์อินดีส์ใน 90 วัน สองเรื่องที่ว่าเชื่อกันว่าเป็นเหตุให้เรือและกัปตันต้องระหกระเหินไปทั่ว ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไปชั่วกาลนิรันดร.....

อย่าเพิ่งคิดว่าจะมีแค่ เรื่องของเรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมนเท่านั้น ยังมีอีกเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง

เรื่อง นี้เป็นเรื่องของเรือล่าปลาวาฬอเมริกันชื่อ จอร์จ เฮนรี่ ซึ่งกำลังมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ออกเดินทางตามหาคณะเดินทางเคราะห์ร้ายนำโดย เซอร์ จอร์น แฟรงคลิน ที่หายไปจากเส้นทางสู่ขั้วโลกอย่างไร้ร่องรอย แต่ว่าภารกิจนี้เรือจอร์จ เฮนรี่ไม่ได้มาเพียงลำเดียว ยังมีเรืออีกลำชื่อว่า เรือเรสคิว ตามมาเป็นเรือบรรทุกสัมภาระด้วย เรื่องของเรื่องมันก็อยู่ที่เรือลำนี้แหละ เพราะว่าเรือเรสคิวเป็นเรือประหลาดหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรืออัปมงคลก็ ว่าได้ เมื่อออกเดินทางทุกครั้ง ก็จะต้องลงเอยด้วยการมีคนตายอย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ



คืนวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1860 เรือทั้งสองลำจอดทอดสมอหลบพายุอยู่ที่อ่าวโฟรบิสเชอร์ เกาะแบฟฟิน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พายุก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดกำลังลง กลับเพิ่มแรงลมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกัปตันฮอลล์ กัปตันเรือของจอร์จ เฮนรี่ตัดสินใจสั่งให้ถ่ายลูกเรือเรสคิวมาขึ้นเรือของเขาให้หมด นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะเพียงชั่วอึดใจต่อจากนั้น สมอเรือของเรสคิวถูกแรงกระแสน้ำลากออกจากที่ ค่อยๆ ลอยเข้าหาฝั่งที่น้ำทะเลกระแทกหินอย่างรุนแรง ดูเหมือนจะมีอำนาจบางอย่างที่พยายามดึง เรือเรสคิว เอาไว้ไม่ให้เข้ากระแทกหินโสโครกชายฝั่งง่ายดายเกินไป แต่กระนั้น เรือเรสคิว ซึ่งไร้คนบังคับก็ต้องพ่ายต่อแรงธรรมชาติในอีกหลายชั่วโมงต่อมา มันถูกคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำหนุนให้เรือพุ่งเข้าหากองหินอย่างแรงจนไม้กราบ เรือฉีก หิมะซึ่งโปรยปรายต่อมาหลังจากนั้นดูราวกับผ้าห่อศพก็ไม่ปาน



เช้าวันต่อมา เรือเรสคิว หายไป เป็นไปได้ว่าอาจถูกหิมะถมทับจนหายไปสนิท แต่ลูกเรือหลายคนก็เชื่อว่ามันโดนคลื่นลมพาเข้ากระแทกกับหินจนแหลกเป็นชิ้น เล็กชิ้นน้อย เรือจอร์จ เฮนรี่ต้องเดินต่อไปลำเดียว

กรกฎาคม 1861 สิบเดือนต่อมา เรือจอร์จ เฮนรี่เดินทางมาที่เกาะแบฟฟินอีกครั้ง ทันทีที่มาถึงลูกเรือที่มองดูอยู่บนยอดเสากระโดงก็ร้องเสียงหลงชี้มือไปที่ ขอบฟ้า ห่างออกไปราว 2 ไมล์ มีเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นเป็นเงาลางในม่านหมอก แต่ก็สามารถบอกได้จากกราบเรือที่ฉีกแตกว่านั่นคือ เรือเรสคิว มันแล่นเป็นเส้นตรงเหมือนกับมีมือที่มั่นคงบังคับหางเสือ ทั้งๆ ที่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตบนดาดฟ้า ลูกเรือของ เรือจอร์จเฮนรี่ มองภาพข้างหน้าอย่างขนลุกขนชัน ครู่เดียวมันก็หายไปในหมอกอีกครั้ง

เย็น วันนั้นเรือจอร์จเฮนรี่ทอดสมอเรือไว้ที่อ่าวโฟรบิสเชอร์ ไม่ห่างจากจุดที่เรือเรสคิวประสบเหตุอับปางเมื่อปีก่อน ไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนั้น ลมแรงจัดก็พัดมาจากทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ พาน้ำแข็งก้อนมหึมาข้ามทะเลตรงมายังเรือจอร์จเฮนรี่ ลูกเรือต่างรีบหาไม้มาช่วยกันยันก้อนน้ำแข็งออกไปก่อนที่มันจะมาชนเรือ ทว่าเพียงแค่ก้อนน้ำแข็งเบี่ยงทางไป แสงจันทร์ซีดเซียวก็จับไปยังสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือจอร์จเฮนรี่ตาค้าง

มัน คือเรือเรสคิว !!!

เรือนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไมล์เดียว ที่สำคัญคือมันกำลังไถลวิ่งตรงเข้ามาหา ไม่มีทางที่เรือจอร์จเฮนรี่จะหลีกพ้น มันอาจจะเป็นชะตากรรมหรืออาจเป็นความเคียดแค้นที่ถูกทิ้งอยู่เดียวดาย แต่จะอะไรก็ตาม ลูกเรือจอร์จเฮนรี่เตรียมใจรอรับการพุ่งชนในอึดใจข้างหน้า จู่ๆ ณ จุดที่เรือกำลังจะสัมผัสกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปด เรือเรสคิวก็หันหัวเรือเปลี่ยนทิศ มันอาจติดก้อนน้ำแข็งจนหัวเรือต้องเปลี่ยนทางไป แต่ในความรู้สึกของลูกเรือดูเหมือนกับผีที่คุมพังงาเรือ เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย



วันต่อมา กัปตันฮอลล์ถอนสมอเรือและแล่นเรือออกจากอ่าว ไม่มีสัญญาณใดบอกให้เห็นเรือเรสคิว แต่ลูกเรือก็พากันเงียบงันตลอดทั้งวัน พวกเขาจับตาอยู่ที่ขอบฟ้าด้วยความหวาดกลัว และแล้วมันก็มาตามเวลาในตอนเย็น ตรงจุดที่มันถูกทิ้งอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้งในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง คราวนี้มันลอยออกไปทางทะเลปิด หายไปในเวลาร่วมชั่วโมง

ไม่มีใครรู้ ว่าที่สุดแล้ว เรือเรสคิว ลงเอยอย่างไร บางคนเชื่อว่ามันสิงอยู่ในทะเลเกาะแบฟฟิน แต่ไม่ว่าจะเชื่ออย่างไร ผีเรือเรสคิวก็มีอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวเรือในย่านนั้น จนมีใครหลายคนหวังว่าจะได้เห็นมันสักครั้ง


เครดิต : http://www.siamzone.com/board/view.php?sid=168945



 



ร็อดส์

UMA (Unidentified Mysterious Animal) หรือสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ได้รับการยืนยันนี้เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับคงจะผ่านเลยไปไม่ได้ อย่างที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่เนสซี่ของทะเลสาปล็อคเนส บิ๊กฟุต กับปะ ซีเซอร์เพนท์ หรือแม้แต่แพนด้าและกอริล่า ก่อนที่จะถูกยืนยันอย่างเป็นทางการในศตวรรษที่ 19 สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ต่างก็เคยเป็น UMA มาก่อน จะอย่างไรก็ดี UMA ยังถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ถูกยืนยันโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ UMA ที่ยังไม่มีหลักฐานรองรับอันแน่นอนก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งในสายตาคนทั่วไป UMA ก็ยังคงถูกแบ่งประเภทเป็น Occult อยู่ดี:L

 

Rods , Flying Rods หรือ Sky Fishes

ย้อนกลับไปเดือนในคม ปี 1994 สถานที่ก็คือแถวทะเลทราย ที่มิดเวย์ในรัฐนิวเม็กซิโก ช่างตัดต่อฟิลม์ชื่อโจเซ่ เอสคามิวล่า ได้เดินทางไปท่องเที่ยวพร้อมทั้งถ่ายวีดีโอไว้ได้เมื่อตอนไปกระโดดร่มเล่นที่หน้าผาในนิวเม็กซิโก และได้พบบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในฟิลม์เมื่อทำการฉายด้วยสโลโมชั่น บางอย่างที่ว่ามีลักษณะเป็นแท่งยาว ด้านข้างมีแผ่นครีบบางๆซึ่งโบกพัดไปมาด้วยความเร็วสูง โจเซ่จึงคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต เขาได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมันจนสามารถถ่ายภาพที่เกี่ยวข้องเก็บไว้ได้ถึง 500 ชั่วโมงและเรียกสิ่งมีชีวิตปริศนานี้ว่า Rods หรือFlying Rods ที่แปลว่าแท่งไม้บินนั่นเอง (แต่โดยทั่วไปแล้ว สิ่งมีชีวิตนี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่ละที่จึงเรียกชื่อไปต่างๆกัน ส่วน
"สกายฟิช"เป็นชื่อเรียกที่แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น)

        

ในปัจจุบันทั้งหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ที่ทำการศึกษามาก็ยังไม่อาจที่จะระบุได้แน่ชัดเลยครับว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาชนิดนี้คืออะไรกันแน่ เท่าที่ทราบกันก็คงจะเป็นแค่เรื่องที่ว่ามันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในอากาศ รูปร่างเป็นแท่งยาว มีปีกหรือครีบอยู่รอบลำตัว บินได้เร็วประมาณ 270-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับความเร็วขนาดนี้ แน่นอนครับ ตาคนธรรมดามองไม่เห็นหรือมองตามไม่ทันแน่ อีกปัจจัยหนึ่งก็คือเป็นเพราะว่าขนาดตัวของร็อดส์มีขนาดเล็ก เฉลี่ยประมาณ 4 นิ้ว (แต่ก็มีบางข้อมูลนะครับที่บอกว่าร็อดส์นั้นบางตัวอาจมีความยาวถึง 100 ฟุตก็เป็นได้ ค่อนข้างที่จะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย ;P ) และสีผิวค่อนข้างที่จะขาวหรือขาวใสด้วยครับ เลยทำให้เวลามันเคลื่อนที่อยู่นั้น เราจึงไม่อาจที่จะมองตามมันได้ทันเลย ส่วนเรื่องอาหารการกิน การสืบพันธุ์ พฤติกรรมต่างๆ ของร็อดซ์นั้น ที่เรารู้แทบจะเป็นศูนย์ครับ

มีการตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับร็อดส์มากมาย หากที่มีความน่าเชื่อถือมีใจความดังต่อไปนี้

1. แมลงที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
ในปัจจุบัน มีแมลงที่ถูกค้นพบอย่างเป็นทางการแล้วกว่า 8 แสนชนิดซึ่งเป็นจำนวน 3 ใน 4 ของสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ทีเดียว กล่าวกันว่าแมลงที่ยังไม่ถูกบันทึกมีอยู่ประมาณ 3 ล้านสายพันธุ์ซึ่งยังแตกแยกออกไปได้อีกหนึ่งล้านล้านล้านชนิด คงไม่น่าแปลกหากร็อดส์จะเป็นหนึ่งในแมลงที่ยังไม่ถูกค้นพบเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ดี ยังเป็นที่กังขาอยู่ว่าหากร็อดส์เป็นแมลงจริงก็น่าจะมีเสียงกระพือปีกถูกบันทึกมาในวีดีโอด้วย

2. สัตว์ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
ทฤษฎีนี้กล่าวว่าร็อดส์ไม่ได้เป็นแมลง แต่เป็นสัตว์ตระกูลนกหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ทฤษฎีนี้ก็ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องเสียงปีกเช่นเดียวกับทฤษฎีแมลง

3. อะโนมาโลคาริส (Anomalocaris)
มีการตั้งสันนิษฐานว่าร็อดส์น่าจะเป็นอะโนมาโลคาริสซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตในยุคแคมเบรียน (545 ล้านปีจนถึง 550 ล้านปีก่อน) หรือไม่

      

ครีบข้างลำตัวของร็อดส์มีลักษณะคล้ายคลึงกับอะโนมาโลคาริสก็จริงอยู่ หากสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์นี้อาศัยอยู่ในน้ำ มันสามารถพุ่งตัวขึ้นมาเหนือน้ำได้ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงการร่อน ไม่ใช่การบินเหมือนกับร็อดส์ในวีดีโอ

4. สิ่งมีชีวิตจากต่างดาว
มุขนี้เป็นของประจำสำหรับโอพาร์ทสและ UMA ค่ะ คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีกแล้ว

5. ปรากฏการณ์ Motion Blur ของภาพ
เป็นทฤษฎีที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในการค้านที่เกี่ยวกับร็อดส์ เป็นต้นว่าเวลาถ่ายรูปวัตถุที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ภาพที่ออกมาจะปรากฏเส้นการเคลื่อนไหวของวัตถุนั้นในรูปด้วย (กรุณานึกภาพถ่ายของรถที่กำลังวิ่ง หรือถนนในตอนกลางคืน) มีการตั้งสันนิษฐานว่ารูปของร็อดส์อาจจะเป็นรูปของวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่หากถูกถ่ายภาพออกมาโดยเกิดโมชั่นเบลอร์ทำให้เห็นเป็นร็อดส์ได้

จะอย่างไรก็ดี การที่ยังไม่มีผู้สามารถจับร็อดส์ที่มีตัวตนอยู่จริงได้ จึงเป็นที่โต้เถียงกันจนทุกวันนี้ว่าร็อดส์มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ เนื่องจากเรายังไม่มีทั้งหลักฐานที่ยืนยันว่าร็อดส์มีจริง และหลักฐานที่ยืนยันว่าร็อดส์ไม่มีจริงเช่นกัน

      
    ถ่ายได้ในความมืด

     
     รูปร่างคล้ายแท่งไม้ยาวๆหรือแมลง แล้วแต่คนมองนะCredit : http://www.mythland.org/v3/thread-877-1-1.html