Translate

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ทะเลปีศาจ


 ทะเลปิศาจ” อาณาเขตอาถรรพณ์ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้ฝั่งเกาะมาดากัสการ์นี่เอง หากมองดูแผนที่ท่าน จะเห็นว่ามาดากัสการ์ เป็นเกาะใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ใกล้ไปทางแผ่นดินใหญ่แอฟริกา ถัดไปทางทิศตะวันออกมีเกาะใหญ่ อีกเกาะหนึ่งคือเกาะ มอริเชียส ถัดมอริเชียสขึ้นไปทางเหนือมีเกาะซีเชลล์ทอดอยู่สง่าภาคภูมิ...บริเวณเกาะทั้งสามในมหาสมุทรอินเดียนี้เอง ที่มีเหตุการณ์ประหลาดๆเกิดขึ้นบ่อยจนน่านน้ำบริเวณนั้นได้รับนามว่า “ทะเลปิศาจ
ชื่อ ทะเลปิศาจ” นี่ยังนับว่าเบาะๆนะครับ นักเขียนฝรั่งบางคนเรียกซะเข้าไส้ไปเลยว่า นรกของคนถูกสาป-Limbo of the Damned” คู่กับ “Limbo of the Lost” อันหมายถึงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอาถรรพณ์ครับ
เช่นเดียวกับบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ทะเลปิศาจแห่งมาดากัสการ์เป็นจุดที่เรือและเครื่องบินสูญหายไปโดยปราศจากร่องรอยหลายสิบลำ นับแต่ปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา ได้มีเรือหายไป ณ จุดนี้ถึง46 ลำ ก่อนหน้านี้ ขึ้นไปก็มีเรือสูญหายอีกมาก บางครั้งหายไปหมดทั้งเรือและกะลาสี บางครั้งหายเฉพาะกะลาสี เหลือแต่เรือเปล่าๆ ฯลฯ จะขอคัดตอนสำคัญๆ ที่น่าเชื่อถือ เพราะผ่านการสำรวจตรวจสอบแล้วมาคุยให้ท่านฟังสัก 3-4 ตัวอย่าง
ปี ค.ศ.1789 เรือฟรีเกตของฝรั่งเศสสองลำชื่อ ลาบูสโซล” กับ ลาสโตรลาป” ออกเดินทางจากออสเตรเลียมุ่งสู่มาดากัสการ์ โดยการนำของกัปตันผู้คร่ำหวอดเพียงเพื่อที่จะหายสาบสูญปราศจากร่องรอยแถวๆฝั่งมาดากัสการ์นี่เอง
               ใน ค.ศ.1893 เรืออังกฤษชื่อ คอร์เนเลียสซึ่งรายงานว่า ได้พบสิ่งประหลาด” ก็หายไปอีกลำ โดยไม่มีใครรู้เลยว่า สิ่งประหลาด” ที่คอร์เนเลียส ได้เผชิญมานั้นคืออะไรกันแน่?
ถัดมาใน ค.ศ.1901 เรือฝรั่งเศสพร้อมลูกเรือและผู้โดยสารรวม 114 ชีวิต หายสาบสูญไปในบริเวณนี้อีก และในปี 1967 เรือ อาร์เดน” ของอังกฤษ เจอเข้าให้อีกครั้ง หายไปหมด รวมทั้งชีวิต 98ชีวิตบนเรือ ส่วนในปี 1968, 1969 ก็ยังคงมีเรือจากฝรั่งเศสและออสเตรเลียหายสูญไปเช่นเดียวกัน
เรื่องการหายของเรือเดินสมุทรนี้ นักวิทยาศาสตร์อาจไม่เห็นว่าแปลกตรงไหน เพราะห้วงมหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ไพศาล เรือจะหายไปมั่งปีละลำสองลำเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่มีคนอีกมากไม่เห็นด้วย โดยยืนยันว่า การสูญหายในบริเวณทะเลปิศาจนี้ต้องมีอะไรผิดปกติอยู่ด้วยแน่ๆ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้พบเรือดำน้ำของญี่ปุ่นลำหนึ่งเกยตื้นอยู่บนฝั่งดีเอโก ซูอาเรส ของเกาะ มาดากัสการ์ เรือดำน้ำขึ้นมาเกยตื้นบนฝั่งน่ะมันก็ธรรมดา แต่ประหลาดอยู่ ตรงที่ว่า เรือยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ลูกเรือพากันหายสูญไปหมด โดยปราศจากร่องรอยน่ะสิ
ปี ค.ศ.1961 เครื่องบินของฝรั่งเศสพร้อมด้วยคน คน ตกที่ชายฝั่งมาดากัสการ์ เครื่องแหลกละเอียดหมด แต่จะหาศพคนทั้ง คน ในซากเครื่องบินนั้น แม้แต่เศษเนื้อเศษหนังสักนิดก็ไม่มี คนทั้งหมดหายไปอย่างลึกลับที่สุด ราวกับว่าก่อนเครื่องบินตกพวกเขามิได้อยู่บนเครื่องบินเลย
ปี ค.ศ.1964 ตำรวจน้ำพบเรือสำราญขนาด 64 ฟิต ลอยอยู่กลางทะเลใกล้ฝั่งเกาะมอริเชียสโดยไม่มีอะไรบุบสลาย แต่ทว่าไม่มีคนอยู่บนเรือนั้นสักคนเดียว!...ไม่มีร่องรอยว่าได้เกิดการต่อสู้หรือเภทภัยใดๆแม้แต่น้อย ข้าวของทุกชิ้นวางอยู่กับที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขาดก็แต่คนเท่านั้น!
เรือ ตาร์บอง” ของฝรั่งเศสก็เช่นกัน มันแล่น ออกจากพอร์ตหลุยส์ในเกาะมอริเชียส วันที่ ธ.ค.1974 สามวันต่อมา เรือบรรทุกน้ำมันฮิวตันมาร์คเกอร์ ได้พบตาร์บองลอยเท้งเต้งอยู่ห่างเกาะราว 90ไมล์ เสบียงและอุปกรณ์ทุกชิ้นมีสภาพดีเยี่ยม แต่ไม่มีคน!
ทีนี้มาดูเหตุการณ์ที่ทั้งคนและพาหนะรอดกลับมาบอกเล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นให้ ฟังได้ว่าเขาเผชิญหน้ากับอะไรมาบ้าง
                ปี ค.ศ.1976 เรือพิฆาตแห่งนาวีสหรัฐฯ ชื่อ ลาวี” แล่นมาใกล้ถึงฝั่งดีเอโก ซูอาเรส เหตุร้ายก็เกิดขึ้นรวดเร็ว ท้องน้ำในบริเวณนั้นปั่นป่วนหมุนอย่างบ้าคลั่งเป็นวงมหึมา และแล้วเกลียวน้ำก็ยกขึ้นสูงเป็นคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่เรืออย่างรุนแรง และในท่ามกลางความปั่นป่วนนั่นเอง ลูกเรือทั้งหมดก็ได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากทิศทางต่างๆกัน ในท่ามกลางเกลียวคลื่น
เสียงคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างโหยหวนโดยไม่เห็นตัว ต่อจากนั้นก็มีเสียงคนพูดกันจ้อกแจ้กเหมือนตกอยู่ในสภาวะตระหนกอกสั่น แต่ภาษาที่พูดนั้นลูกเรือสหรัฐฯฟังไม่ออกสักคำเดียว เพราะเหมือนคนหลายสิบคนต่างก็พูดภาษาของตนนับสิบๆภาษาพร้อมๆกัน ข้าวของต่างๆบนเรือล้วนเคลื่อนที่ได้เองเหมือนมีคนจับมันขยับเขยื้อน... เหตุการณ์ผ่านไปนานนับชั่วโมง จึงหยุดลงพร้อมๆกับเรือแล่นผ่านบริเวณอันบ้าคลั่งนั้นออกมาได้
ไม่มีใครให้เหตุผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?
วันที่ มิ.ย. 1970 เรือบรรทุกน้ำมันอังกฤษชื่อ อินเนอร์เดล” ประสบพายุใหญ่และทะเล บ้าคลั่งขนาดหนักที่ใกล้เกาะซีเชลล์จนถึงกับต้องสละเรือ ลูกเรือ 60 ชีวิตลงเรือชูชีพหนีออกมาได้ ทุกคนเล่าเป็นเสียงเดียวกัน ว่า “เราบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอะไร มันมืดไปหมด มืดสนิทราวกับไม่ได้อยู่ในโลกนี้ มันเหมือนมีพลังประหลาดมาดึงดูดตัวเราอย่างรุนแรงจนทนไม่ได้” ส่วนกัปตันตอบเคร่งขรึมว่า มันเป็นประสบการณ์แปลกประหลาด ที่สุดในชีวิตการเดินเรือสามสิบปีของผม
แต่รายสำคัญได้แก่นักบินผู้ขับเครื่องบินดีซี-ของทางการมาดากัสการ์ไปผจญเหตุร้ายในวันที่ 11 ธ.ค.1969
กัปตันโรแลนด์ แอนตริบี้ พร้อมด้วยนักบินผู้ช่วย หลุยส์ โทลิเวร์ และผู้โดยสารโบยบินไปบนฟากฟ้าที่ได้รับคำพยากรณ์อากาศมาล่วงหน้า แล้วว่าอากาศปลอดโปร่งแจ่มใสตลอดวัน แต่ขณะที่บินอยู่ในระยะความสูง 4,000 ฟุต เหนือเมืองพอร์ตหลุยส์ของเกาะมอริเชียสกับเมืองทามาตาวีในเกาะมาดากัสการ์นั่นเอง ก็เจอเรื่องประหลาด
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่หมอก ไม่ใช่เมฆ ไม่ใช่ควัน...แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ สีครีมข้นเป็นกลุ่มขนาดใหญ่มหึมาลอยตัวเข้ามาช้าๆ ขณะนั้น ทุกคนมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่ว่าจะท้องฟ้าข้างบนหรือทะเลข้างล่าง เห็นแต่วัตถุสีครีมข้นหนาทึบปกคลุมเต็มไปหมด และแล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อเครื่องบินเคลื่อนเข้าไปอยู่ในวงล้อมของวัตถุสีครีมนั้นอย่างสิ้นเชิง
มีแสงฟ้าแลบแปลบปลาบเกิดขึ้น” แอนตริบี้ เล่า “เป็นฟ้าแลบจากเบื้องบนผ่านเข้ามาในวัตถุสีครีม มันกระทบปีกเครื่องของเราจนสั่นสะเทือน หลุยส์ผู้ช่วยของผมร้องตะโกนอย่างลืมตัวว่า เรากำลังเจอพายุคลื่นไฟฟ้า'...ซึ่งผมก็คิดว่าจริงของเขา
ระหว่างนี้ วิทยุติดต่อกับหอบังคับการขัดข้อง เข็มต่างๆที่หน้าปัดเป๋ผิดทิศทางไปหมด มีอย่างเดียวเท่านั้นที่สงบนิ่ง คือ นาฬิกา เพราะว่ามันหยุดเดินทันที ที่เครื่องเข้าสู่กลุ่มวัตถุสีครีมหนานี้
กลุ่มครีมข้นนั้นหนามากขึ้น แสงฟ้าแลบแปลบปลาบรุนแรงขึ้นทุกที ในที่สุดเครื่องบินก็สั่นสะเทือนอย่างแรง แอนตริบี้ไปกระแทกที่นั่งจนเลือดไหลกบปาก แต่เขาก็ประคองเครื่องอย่างสุดความสามารถนานถึง35 นาทีเต็มๆจึงผ่านออกมาได้ แต่เครื่องก็เสียจนไม่อาจบินต่อไปได้ เคราะห์ดีที่นำเครื่องลงได้โดยปลอดภัย
อะไรเป็นตัวการพาให้เกิดเหตุพิศวงขึ้น ณ บริเวณทะเลปิศาจ?
หนึ่งในคำตอบนั้นเกี่ยวโยงกับยูเอฟโอตามเคย
ในบริเวณทะเลปิศาจมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นสิ่งบินลึกลับอยู่บ่อยๆ และมักพบในลักษณะรูปทรงต่างๆกันไป ผู้ที่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ จึงสรุปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ผู้มาจากโลกอื่นแน่นอน ส่วนนักโบราณคดีก็พยายามหาคำตอบด้วยการขุดลึกเข้าไปในอดีตของชาวเกาะมาดากัสการ์และ ก็ได้พบบางอย่างที่น่าสนใจ
เมล โปเบร นักโบราณคดีสหรัฐฯ พบว่าชาวเกาะมีที่มาอันน่าพิศวง พวกเขาไม่ได้เป็นนิโกรหรือชาวพื้นเมืองแอฟริกัน ตามตำนานบอกว่าบรรพบุรุษของเขาเดินทางไกลแสนไกล จากบางส่วนของไมโครนีเซียอันห่างออกไปราว 8,000 ไมล์ นานกว่าห้าพันปีมาแล้ว
เมลบอกว่า การที่บรรพบุรุษของชาวเกาะลงเรือเดินทางรอนแรมมาไกลอย่างนี้ แสดงว่าพวกเขาจะต้องเป็นนักเดินเรือที่เชี่ยวชาญหาตัวจับยากทีเดียว
ความประหลาดมันอยู่ตรงนี้ละครับ
ชาวเกาะมาดากัสการ์ปัจจุบันไม่มีใครเป็นนักเดินเรือเลยซักคน...พวกเขาเป็นชาวเกาะอยู่กลางน้ำ แต่ไม่มีใครคิดจะหากินทางน้ำเลย เขาไม่ยอมลงเรือไปค้าขายไกลๆ ซึ่งนับว่าผิดปกติมาก
นักโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ชาวเกาะซึ่งสืบเชื้อสายมาจากนักเดินเรือมือเยี่ยมต้องกลัวต่อการเดินเรืออย่างนี้ เมื่อได้ค้นลึกเข้าไปในตำนานบรรพบุรุษ เมลก็คิดว่าพอจะได้คำตอบบ้างแล้ว
                ตำนานของบรรพชนกล่าวว่า ท้องทะเลที่พวกชาวเกาะข้ามมานั้นเต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาดอันแสนจะน่าสะพรึงกลัว มันทำลายชีวิตนักเดินเรือไปเป็นอันมาก จนกระทั่งเหลือรอดมาถึงเกาะเพียงหนึ่งในสาม...สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นน่าสยองขวัญเสียจนพวกเขาพากันเข็ดขยาด เมื่อมาถึงฝั่งได้ก็สาบานว่าจะไม่ไปออกทะเลอีกแล้ว จนมีคำสอนอย่างเคร่งครัดว่า ห้ามออกทะเลไม่ว่าด้วยเรือชนิดใดก็ตาม เพราะว่าในทะเลนั้นเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ของปิศาจร้าย
ชาวเกาะมาดากัสการ์จึงจับเจ่าอยู่ที่นั่นมาจนกระทั่งบัดนี้
ครับ-สิ่งที่นักเดินเรือสมัย 5,000 ปีก่อนได้ พบเห็นนั้นจะเป็นอะไรที่เราไม่สามารถรู้ได้ มันจะเป็นฐานทัพมนุษย์ต่างดาวใต้ทะเล-อสูรจากห้วงทะเลลึก-หรือมิติอื่นที่ซ้อนอยู่ในบริเวณนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้...

http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=107348

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น