Translate

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

กำแพงแก้ว




                ในขุนเขาทมึนแห่งสก๊อตแลนด์มียอดเขาสูงตะหง่านสลับซับซ้อน ณ.ยอดเขาชื่อว่า แท็ป โอ นอธ (Tap O'Noth) ซึ่งมีระดับสูง 1,850 ฟุต หรือ 560 เมตร อยู่ห่างจากหมู่บ้านไรยนี (Rhynie) ซึ่งต้องอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของสก๊อตแลนด์หลายสิบไมล์
                มองเห็นแต่ไกลว่ามันเป็นยอดเขามีอาณาบริเวณราบเรียบ แต่เมื่อได้ไต่ขึ้นไปถึงยอดเขานั้นจริงๆ แล้วจึงจะได้พบกับลักษณะพิเศษไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร คือมีแนวกำแพงหินสูงรูปวงรีซึ่งแน่นอน ครั้งหนึ่งในอดีต มันเคยเป็นสันกำแพง แนวปราการและเชิงเทินป้อมปราการของปราสาทหรือค่ายศึกในสมัยโบราณยุคอัศวินใส่เกราะรุ่งโรจน์สมัย British Iron Age" ตำแหน่งกำแพงนี้ตั้งอยู่ในภูมิลักษณะที่พิเศษมาก เพราะสามารถมองลงไปในหุบเขาเบื้อล่างเห็นทั้งเขตอะเบอร์ดีนเชียร์อันกว้างใหญ่ (Aberdeenshire)
                สิ่งที่แปลกน่าอัศจรรย์สำหรับกำแพงนี้ก็คือ มันมิไดเป็นกำแพงหินธรรมดาๆ หากแต่ว่ามันทำขึ้นจากหินที่หลอมละลายติดกันเป็นสันกำแพง มีการนำเอาหินมาก่อเรียงกันเป็นกำแพงแล้วหลอมให้มันละลายเชื่อมติดกันอย่างนั้นหรือ ถูกแล้ว ถ้าใครได้ไปเห็นกับตามก็ต้องบอกว่าใช่แน่ เพราะยังปรากฏส่วนของกำแพงหินที่เป็นก้อนๆ ตั้งเรียงซ้อนกันอยู่ ซึ่งแตกหักออกเป็นช่องโหว่กว้างๆ ตั้งอยู่ให้เห็นอย่างชัดเจน มีส่วนที่ตั้งเป็นก้อนเดี่ยวๆ มีลักษณะหลอมตัวและเป็นสีดำเหมือนถ่าน ปัญหาน่าฉงน คนสร้างกำแพงหินเหล่านี้มีเทคโนโลยีอะไรที่สามารถให้ความร้อนขนาดหลอมหินให้ละลายได้?
                ก้อนหินเหล่านั้นได้รับความร้อนอย่างมหาศาลจนหลอมละลายเกาะกันเป็นแผงกำแพง ความร้อนซึ่งต้องร้อนอย่างมากนั้นได้ทำให้สิ่งประหลาดเดขึ้นตามมาเมื่อก้อนหินเย็นตัวลง ทั้งกำแพงก็กลายเป็นสารชนิดใหม่ขึ้นมา ไม่ใช้หินภูเขาเหมือนเดิม แต่มีความแข็งและใส ขุ่น ๆเหมือนแก้ว ซึ่งนักโบราณคดีเรียกมันว่ากำแพงแก้ว (vitrified)
               
                แนวกำแพงที่หลอมเกาะกันเป็นรูปวงรีปรากฏอยู่ที่ยอดเขาแท็ป โอ นอธ
                การค้นพบกำแพงแก้วนี้เพียงแห่งเดียวก็นับว่าประหลาดเหลือล้น แต่ปรากฏว่า ทางตอนกลางและตะวันออกเฉียงเหนือของสก๊อตแลนด์มีกำแพงในลักษณะที่ว่านี้อยู่อีก 60 แห่งเป็นอย่างน้อย มีอยู่แห่งหนึ่งที่ดันนิเดียร์ อยู่ห่างจากยอดเขาแท็ปโอนอธไปไม่กี่ไมล์ ที่นั่นก็มีกำแพงแก้วขนาดกว้างและยางมากกินเนื้อที่หลายพันตารางหลาทอดยาวเยื้องไปตามแนวยอดเขาดันนิเดียร์นอกนั้นก็เป็นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ที่มีกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กันนั้นทั้งหมดเป็นกำแพงหินหลอมละลายจนดูคล้ายแก้ว
                ยังมีเรื่องกล่าวว่า เจ้ากำแพงประหลาดนี้ไม่ได้เป็นปรากฎการณ์สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดมีขึ้นอยู่แต่ในประเทศสก็อตแลนด์เท่านั้น หากแต่มีผู้พบอยู่ในประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมันนีอีกด้วย
                 นักโบราณคดีเริ่มทำการสำรวจกำแพงแก้วเหล่านี้เมื่อประมาณสองร้อยปีมาแล้ว การสำรวจกระทำไปแล้วหลายร้อยครั้ง เปลี่ยนมือเปลี่ยนคณะผู้เชี่ยวชาญไปไม่รู้ซักเท่าไรต่อเท่าไร จนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันแต่ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบอธิบายปริศนาของมันไดเลย
                เมื่อยิ่งมีการพิจารณาวิเคราะห์ลึกซึ้งเข้าไปมากเท่าใดก็พบแต่เพียงทฤษฏีที่ต่างกันออกไปมากเท่านั้นเกิดข้อถกเถียงกันมากขึ้นจนหาข้อยุติลงไม่ได้ สรุปแล้วไม่มีใครจะอธิบายให้พอใจไดเลยว่า ทำไมกำแพงหินเหล่านั้นจึงหลอมละลายลงได้ในลักษณะเช่นนั้น? 
ได้ทฤษฎีต่างๆ 
                ทฤษฎีแรกซึ่งกันในศตวรรษที่ 18 กล่าวว่า แรกเริ่มเดิมทีภูเขาซึ่งเป้ฯที่ตั้งของกำแพงเหล่านั้นคงจะเป็นภูเขาไฟมาก่อนนั่นเองและผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็นำเอาหินที่กิดจากหินละลายซึ่งภูเขาไฟหรือตอนที่ภูเขาไฟพ่นออกมา ซึ่งยังเป็นหินเหลวๆ อยู่นั้น เขาจะทำได้อย่างไรกัน?
                ทฤษฎีข้อต่อมาตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง กล่าวว่าการที่กำแพงหินเหล่านี้เกิดหลอมละลายได้นั้นไม่ใช่ฝีมือของผู้สร้าง แต่เป็นฝีมือของอาวุธมหาประลัยหรือปืนรังสีของพวกมนุษย์ต่างดาวที่มาบุกโลกในสมัยก่อน ส่วนตัวแล้วหนูชอบทฤษฏีนี้มากที่สุด
                อีกทฤษฎีหนึ่งเขากล่าวว่า คนโบราณใช้วิธีตัดหินก้อนใหญ่ๆ มาก่อเรียงกันเป็นกำแพงและที่อยู่อาศัยแล้วก็ใช้หินละลายเทราดเป็นตัวเชื่อมเสมือนกาวอีกทีหนึ่ง ทฤษฎีนี้ไม่ค่อยมีจิตนาการเลยแต่ติดขัดอยู่ที่ว่าเตาหลอมหินให้ละลายเพื่อทำเป็นกาวหินอย่างที่ว่านั้นนะเขาจะทำกันได้อย่างไร ถ้าจะหลอมหินกันจริงๆ แล้วก็คงต้องมีเตาหลอมมหึมาเลยทีเดียวแต่ว่าไม่มีใครค้นพบร่องรอยที่ใดสักแห่งที่จะเป็นเตาหลอมหินที่ว่านี้ได้
             
        ยังมีทฤษฎีอยู่อีกข้อหนึ่งที่พวกนักโบราณคดีส่วนใหญ่ค่อยจ้างจะพออกพอใจอยู่มากสักหน่อย คือกำแพงหินควรจะมีไม้เป็นท่อนๆ ทำเป็นโครงกำแพง เพื่อเป็นตัวเชื่อม มีช่องตรงกลางระหว่างหินแต่ละก้อน ในช่องนี้เขาจะใส่ยางไม้ลงไปให้เต็มเป็นตัวยึดเชื่อมหิน
                
                ทฤษฎีนี้ไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับการหลอมละลายของหิน แต่นักโบราณคดีอ้างว่าเขาไดหลักฐานจริงๆ จากการขุดสำรวจพบว่าการก่อสร้างแบบดังกล่าวมีทำกันที่อะเบอร์เนธี (Abernethy) ใกล้กับเมืองเพิร์ธ (Perth)และ เมือง ดันลาเกดใน รอสโคมาร์ตี (Dun Lagaidh in Ross Cromarty) อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดแน่นอนในการก่อสร้างยกตัวอย่างเช่นว่า ไม่มีใครบอกได้ว่าต้องใช้ไม้จำนวนเท่าใด บ้างก็ว่ามีคานไม้เสริมตลอดแนวกำแพง บ้างก็ว่าไม้เป้ฯตัวเชื่อม และวางขวางต่างหาก และบ้างก็ว่าใช้ทั้งไม้และยางไม้ปนกันเป็นตัวเชื่อม เข้าใจว่ามีเสาไม้ในแนวดิ่งตั้งด้านนอกกำแพงเสียด้วย และไม้ที่ใช้นั้นก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นไม้ประเภทใด ไม้เนื้ออ่อนหรือเนื้อแข็งจากหลักฐานดังกล่าว นักโบราณคดีสรุปเอาง่ายๆเลยว่า การที่หินถูกหลอมละลายเป็นสารใหม่ที่ใสคล้ายแก้วนั้น เกิดมาจากการเผาไม้ท่อนๆ ที่วางเป็นโครงประสานกำแพงดังกล่าวนั่น
                แต่เหตุที่ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น ก็ยังเป็นปริศนาอยู่ว่าเป็นเพราะวิธีการสร้างเป็นอย่างนั้นเพื่อให้กำแพงแข็งแรงขึ้นหรือตั้งใจจะทำเป็นกำแพงฉนวนกันการรั่วไหลของน้ำหรือว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมาจากอุบัติเหตุไฟไฟมจากากรสู้รบกันแต่ปัญหาใหญ่ทั้งหมดมันอยู่ที่ว่า ความร้อนจากฟืนไม้ท่อนๆ ที่ใช้เป็นโครงประสานกำแพงนั้นจะสูงพอขนาดทำให้หินละลายกลายเป็นแก้วได้แน่รึ?
                มาถึงตอนนี้บทบาทของนักโบราณคดีก็หมดลง มันเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์จะต้องพิสูจน์  ความร้อนเท่าไรจึงจะหลอมหินภูเขาให้กลายเป็นแก้วได้หินภูเขาแถบนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นหินทรายและหินอัคนีปนกัน
                ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้นำตัวอย่างหินที่หลอมคล้ายแก้วจากแพงแก้วนั้นมาศึกษาวิเคราะห์ ในไม่ช้าเขาก็ประกาศว่า อะไรก็ตามที่สามารถหลอมหินนั้นได้จะต้องมีอุณหภูมิสูงประมารไม่ต่ำกว่า 1,100 องศาเซลเซียส
                
                และนี่คือคำตอบซึ่งทำให้ข้อสันนิษฐานที่ว่าโครงไม้ประสานกำแพงจะเป็นตัวการนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะเชื้อเพลิงไม้ไม่สามารถให้อุณหภูมิสูงได้ขนาดนั้นอย่างแน่นอน
                แต่ทว่าข้อถกเถียงว่าโครงไม้ประสานกำแพงจะเป็นตัวให้ความร้อนจนกระทั่งหลอมหินกำแพงลงกลายเป็นแก้วนั้นยังไม่ยุติลงง่ายๆ ในขั้นแรกนั้นจะต้องถกเถียงกันก่อนว่า โครงไม้ประสานนั้นเกิดลุกติดไฟได้อย่างไร?
                ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า เพราะสงคราม การเผากำแพงเมืองนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอๆ ในการสงครามสมัยโบราณ แต่ก็มีข้อคิดอยู่หน่อยหนึ่งว่า การเผากำแพงเมืองนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายกำแพง กลับหลอมละลายเกาะกันเป็นแก้วไป
                เพื่อให้ข้อถกเถียงนี้หมดไป ยอดนักโบราณคดีผู้มีชื่อคนหนึ่งได้ทำการทดลองสร้างกำแพงจริงๆ ขึ้นตามแบบโบราณ ด้วยวัสดุต่างๆ เหมือนของเดิมทุกประการ และลองเผาดูเพื่อให้รู้แน่ ในปี พ.ศ. 2477 สองนักโบราณคดีชื่อ กอร์ดอน ชิลด์ (Gordon Childe) และวอลเลซ โธร์นีครอฟท์ (Wallace Thorneycroft) ได้กำแพงยาว 3.66 เมตร กว้าง 1.8 เมตร สูง 1.8 เมตรจากวัสดุหินและมีโครงไม้ประสานตามแบบโบราณ ปิดผิดหน้าด้วยอิฐเผา อุดร่องรอยต่อต่างๆ ด้วยแท่งหินสีดำจากภูเขาไฟซึ่งมีเนื้อละเอียดเรียกว่า "Bsaalt rubble" บนสันกำแพงปูด้วยดินและหญ้าทุกอย่างมีสภาพเหมือนกำแพงที่สร้างกันในสมัยโบราณไม่ผิดเพี้ยนจากนั้นก็สุมด้วยไม้และซุงอีกกว่า 4 ตัน เพื่อทำการเผาภายหลักจากการเผาประมาร 3 ชั่วโมง กำแพงทดลองก็พังทลายลงจริงๆ แต่แนวกลางของมันยังคงตั้งเหลืออยู่บ้าง ลมเย็นพัดกระหน่ำโหมพระเพลิงลุกติดซากเศษฟืนให้ลุกแดงต่อไปอีกเป็นเวลานาน
                ในวันต่อมาเมื่อไฟสงบลงก็พบว่า แกนกลางบางส่วนของกำแพงได้หลอมตัวกลายเป็นผลึกแก้วไปแล้วเหมือนกับกำแพงแก้วบนภูเขาแห่งสก๊อตแลนด์ไม่ผิด ในปี พ.ศ. 2520 ได้มีการทดลองอีกครั้ง คราวนี้เผากำแพงจริงๆ เป็นกำแพงเก่าแก่ส่วนหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตำบลราฮอย (Rahoy) ในอาร์เจลล์ไชร์
                แต่ในการทดลองครั้งที่สองไม่ปรากฏผลสำเร็จ กำแพงหินที่นั่นยังคงเป็นหินอย่างเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
                กอร์ดอนซิลด์ กล่าวว่า เหตุที่ไม่สำเร็จเหมือนการทดลองครั้งแรกนั้นเขายังงอยู่เหมือนกันทั้งๆ ที่ครั้งแรกทำไมจึงเกิดผลขึ้นได้เเละก็ไม่มีใครเข้าใจจริงๆ เลยว่า คนสมัยโบราณรู้ได้อย่างไรว่าถ้าเอาไฟเผากำแพงแล้วจะทำให้มันหลอมเป็นแก้ว หรือว่าเขาเผากำแพงเพื่อทำลายมัน แต่ผล
กลับกลายเป็นการหลอมกำแพงให้เป็นแก้ว
                จากการทดลองของ กอร์ดอน ซิลด์ได้ให้ข้อพิสูจน์ไม่ได้แน่ว่าการเผากำแพงในสมัยโบราณจะทำให้กำแพงหลอมตัวกลายเป็นแก้วเป็นไปได้แต่บางที่ คนโบราณอาจจะฉลาดกว่าคนในปัจจุบันก็ได้ เรารู้ได้อย่างไร เราพิสูจน์ได้อย่างไรว่า เขาเหล่านั้นมิได้ตั้งใจสร้างกำแพงแก้วขึ้นมาเองเราเดาเอาว่ามันเกิดขึ้นเพราะอุบิตจากสงคราม มีการเผากำแพง ทำไมเราจะเดาเสียใหม่ไม่ได้รึว่าเขาสร้างกำแพงแก้วขึ้นมาด้วยความรู้และเทคนิคที่เหนือกว่าคนปัจจุบัน 

ที่มาhttp://writer.dek-d.com/cammy/story/view.php?id=376491

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น