Translate

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์




เคยมีใครแอบคิดสงสัยกันเล่นๆบ้างไหมครับว่าโลกของเราใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร และโลกเราเป็นดาวหนึ่งเดียวในจักรวาลเท่านั้นหรือที่มีสิ่งมีชีวิต?



ไม่ใช่เพียงแค่เราๆท่านๆแฟนคอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนเท่านั้นหรอกครับที่สงสัย เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็กำลังให้ความสนใจในการหาคำตอบอยู่เช่นกัน ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเซิร์น (CERN) ที่เขาจับเอาอนุภาคมาวิ่งวนเป็นวงกลม เร่งจนเข้าใกล้ความเร็วแสงแล้วบังคับให้มันชนกันตูมตามสนั่นหวั่นไหว การทดลองอันแสนเสี่ยงนี้ก็เพื่อที่จะหาคำตอบของ “กำเนิดจักรวาล” เช่นกันครับ



ภาพลายเส้นนาซกา "นักบินอวกาศ"


การชนกันของอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในการทดลองของเซิร์นนี้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอาจจะค้นพบอนุภาคกำเนิดจักรวาลก็เป็นได้ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนให้คำตอบที่แน่ชัดของกำเนิดแห่งเอกภพได้เลยครับ

แต่ทว่าถ้ามองในอารยธรรมโบราณทั่วโลก ดูเหมือนพวกเขาจะตอบคำถามพวกนี้ได้ก่อนเราเสียแล้ว เพราะคำตอบของพวกเขาก็แสนง่ายและตรงไปตรงมา คนที่สร้างเอกภพและโลกก็คือ “พระเจ้า” ยังไงล่ะ!!

เพราะถ้าลองดูตำนานการสร้างโลกในอารยธรรมโบราณต่างๆทั้งอียิปต์ เมโสโปเตเมีย อเมริกาโบราณ พระคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งชนเผ่าอื่นๆในโลกโบราณแล้วก็จะเห็นว่า ณ จุดเริ่มต้นของการกำเนิดโลกล้วนมีแต่ความว่างเปล่า หลังจากนั้นพระเจ้าจึงเริ่มรังสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา ตามวิถีของแต่ละอารยธรรม แต่ที่แน่ๆทุกชนเผ่ากล่าวถึง “พระเจ้า” ทั้งสิ้น


ภาพสลักคล้ายอากาศยานในวิหารของฟาโรห์เซติที่ 1


ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากศูนย์จริงๆครับ เพราะจุดเริ่มต้นของเอกภพเมื่อ 14,000 ล้านปีที่แล้วก็มีขนาดเล็กเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น แต่เมื่อ “พระเจ้า” ที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ทำให้เกิดปรากฏการณ์บิ๊กแบงขึ้น เอกภพก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อนุภาคมูลฐานต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จนสุดท้ายส่วนหนึ่งของมันก็ได้กลายมาเป็นบรรดาดวงดาวและโลกของเราในวันนี้

ถ้าเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า “โลก” ไม่ได้เป็นดาวเพียงแค่ดวงเดียวในเอกภพที่มีสิ่งมีชีวิตอันแสนชาญฉลาดอาศัยอยู่ เพราะดวงดาวทั้งหมดในเอกภพ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นคงจะมีเป็นหลักพันล้านดวงหรือมากกว่านั้น


แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นที่มีวิทยาการก้าวหน้ากว่าเราจะเคยเดินทางมายังโลกของเราเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เพื่อถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้กับบรรพบุรุษ!? ครั้งนี้เราจะมาตามหาหลักฐานต่างๆของ “เอเลี่ยนในโลกดึกดำบรรพ์” กันครับ

สถานที่แห่งแรกที่อยากจะพาให้ทุกๆท่านได้ไปรับชมกันก็คือภาพวาดผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี (Kimberly Mountain) ทางตะวันตกของออสเตรเลีย เมื่อลองเพ่งพินิจพิจารณาภาพที่ปรากฏบนผนังถ้ำก็จะพบว่าแทนที่จะเป็นภาพของมนุษย์กำลังล่าสัตว์ หรือภาพสัตว์ป่าทั่วไปดังที่เราคุ้นเคย ชนเผ่าอะบอริจิน (Aborigine) แห่งออสเตรเลียกลุ่มนี้กลับวาดภาพของสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดที่มีศีรษะกลมและมีดวงตาสีดำคู่ใหญ่ประดับอยู่ ชวนให้คิดถึง “เกรย์” (Grey) หรือมนุษย์ต่างดาวที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันเคยประสบพบเห็นกันเป็นอย่างมาก นักวิชาการเรียกภาพวาดเหล่านี้ว่า “แวนด์จินา” (Wandjina) ซึ่งชนเผ่าอะบอริจินนับถือเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของก้อนเมฆและฝน ภาพวาดเหล่านี้คาดว่าน่าจะวาดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นถึงสามหมื่นปีมาแล้ว

จากนั้นเราข้ามทะเลมายังดินแดนทวีปแอฟริกากันบ้างครับ ในทะเลทรายซาฮาร่า ถ้ำในภูเขาทัสซีลี (Tassili) ทางตอนเหนือของแอฟริกาปรากฏภาพวาดอายุร่วมแปดพันปีของสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหมือนมนุษย์แต่มีศีรษะกลมเกลี้ยงคล้ายกับว่าสวมหมวกของชุดอวกาศอยู่ก็ไม่ปาน อีกทั้งเมื่อลองมองไปที่มุมขวาบนของภาพนักบินอวกาศโบราณแห่งแอฟริการ่างนี้แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นภาพของวงรีปริศนาคล้ายจานบินปรากฏอยู่เคียงกัน ซึ่งยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลของภาพวาดปริศนานี้ได้อย่างแน่ชัดเลยสักราย


ภาพปริศนา คล้ายมนุษย์ต่างดาวบนผนังถ้ำในภูเขาคิมเบอร์ลี


ชนเผ่าโฮปี (Hopi) ในรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกาก็มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาว่า  บรรพบุรุษของพวกเขาเดินทางมาจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น และเยี่ยมเยียนดาวดวงอื่นๆมามากมายก่อนที่จะสิ้นสุดจุดหมายปลายทางลงที่โลกของเราใบนี้ ภาพสลักมากมายของชนเผ่าโฮปีเป็นภาพที่ดูแล้วยากที่จะอธิบายว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ภาพของมนุษย์ที่ปรากฏก็ดูไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก

นอกจากตำนานต่างๆที่เล่าไปแล้ว ก็ยังมีภาพของนักบินอวกาศโบราณอีกมากมายที่โชว์ตัวกันบนผนังถ้ำเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดอายุราวหมื่นปีจากประเทศอิตาลี ที่แสดงภาพของมนุษย์ที่เสมือนว่าอยู่ในชุดอวกาศสองคนในท่าทางที่คล้ายกับว่า กำลังล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศนอกโลก และภาพวาดบนผนังถ้ำจากรัฐยูทาห์ (Utah) สหรัฐอเมริกา อายุประมาณ 7,500 ปีที่แสดงภาพของมนุษย์ประหลาด ผิวสีแดงมีดวงตากลมโตผิดปกติ บางคนดูเหมือนสวมหมวก บางคนมีเสาประหลาดโผล่ออกมาจากศีรษะ ประหนึ่งเป็นเครื่องส่งสัญญาณของชุดอวกาศยังไงยังงั้น!!

แน่นอนครับว่าเราไม่มีทางเข้าใจนามธรรมของชนเผ่าโบราณเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถ (และไม่สมควร) สรุปอย่างแน่ชัดว่ารูปที่เห็นนี้จะเป็นมนุษย์ต่างดาวดึกดำบรรพ์ที่มาเยือนชนเผ่าโบราณของเรา เพราะถ้าวิเคราะห์จากภาพวาดผนังถ้ำทั่วไปแล้วก็จะพบว่า คนสมัยโบราณเมื่อกว่าหมื่นปีที่แล้วส่วนใหญ่ไม่ค่อยสลักภาพของมนุษย์ในลักษณะสมจริงถึงขั้น “ภาพเหมือน” เท่าใดนัก ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับลัทธิพิธีกรรมต่างๆที่ประกอบกันในยุคโบราณมากกว่า


รูปวาดบนผนังถ้ำในแอฟริกา คล้ายมนุษย์สวมชุดอวกาศ


แล้วนอกจากภาพวาดผนังถ้ำล่ะ มีหลักฐานอื่นที่พูดถึงเอเลี่ยนดึกดำบรรพ์อีกไหม-ต้องตอบว่ามีเยอะเลยครับ

ตัวอย่างที่น่าจะ ค่อนข้างชัดเจนที่บ่งบอกถึงการมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของอารยธรรมโบราณก็คือบรรดาสิ่งประดิษฐ์ผิดยุคผิดสมัยที่ปรากฏในอารยธรรมนั้นๆนั่นเองครับ อียิปต์โบราณ ก็มีภาพสลักหนึ่งแห่งกับสิ่งประดิษฐ์อีกหนึ่งชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าเกินมนุษย์มนาของชาวไอยคุปต์ นั่นก็คือเรื่องของ “ยานบิน” ครับ นักอียิปต์วิทยาค้นพบภาพสลักรูปเฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำและยานอวกาศในวิหารของฟาโรห์ เซติที่ 1 (Sety I) ในนครอไบดอส (Abydos) อีกทั้งยังค้นพบโมเดลเครื่องร่อนในสุสานจากนครซัคคาร่า (Saqqara) แต่นักอียิปต์วิทยาตรวจสอบแล้วว่าภาพสลักเฮลิคอปเตอร์บนผนังวิหารนั้นเป็นเพียงแค่ความบังเอิญของการสลักซ้ำโดยฟาโรห์สองพระองค์เท่านั้น ส่วนเครื่องร่อนจากซัคคาร่าก็ออกแบบมาได้ผิดหลักอากาศพลศาสตร์ ไม่มีเสถียรภาพทางการบิน และคงไม่สามารถบินได้จริงเป็นแน่แท้

ถ้าลองข้ามมาที่ประเทศโคลอมเบียในอเมริกาใต้ ก็ยังคงต้องประหลาด ใจกับเครื่องประดับทำจากทองคำอายุเกือบสองพันปีรูปร่างแปลกตาที่คล้ายคลึงกับเครื่องบินความเร็วสูงสมัยใหม่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน มันออกแบบมาได้ตามหลักอากาศพลศาสตร์มากกว่าโมเดลเครื่องร่อนของชาวไอยคุปต์เสียอีกครับ วิศวกรชาวเยอรมันสามคนได้ทำการจำลองเครื่องประดับโบราณนี้ออกมาเป็นเครื่องร่อนขนาดอัตราส่วน 16 : 1 ซึ่งผลการบินก็ออกมาสวยหรูจนน่าตกใจว่าเครื่องประดับโบราณแห่งโคลอมเบียเหล่านี้ เหตุใดจึงมีเสถียรภาพทางการบินที่ดีเหลือเชื่อ


ภาพวาดจากรัฐยูทาห์ บางภาพดูเหมือนมีเสาส่งสัญญาณบนศีรษะ


อีกหนึ่งหลักฐานที่นักลึกลับศาสตร์จากทั่วโลกใช้อ้างอิงถึงการมีตัวตนและการติดต่อกับพระเจ้าจากอวกาศของชนเผ่าโบราณก็คือบรรดาภาพสลักที่ต้องมองจากฟากฟ้าเท่านั้นจึงจะเห็น พูดง่ายๆว่ามนุษย์เดินดินอย่างเราๆ ถ้ายืนอยู่บนดิน ก็คงเดาไม่ได้แน่ๆว่าลายเส้นพวกนั้นคือรูปของอะไร ดังนั้นจึงมีคำถามขึ้นมาว่า ถ้าคนธรรมดาเดินดินมองไม่เห็นเป็นภาพ แล้วพวกคนโบราณสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร อีกทั้งพวกเขาทำเอาไว้ให้ใครดู ถ้าไม่ใช่ “เอเลี่ยน” จากนอกโลก!?

สถานที่ที่เข้าข่ายจัดทำเอาไว้เพื่อให้ “พระเจ้า” จากนอกโลกได้ดู ก็มีอยู่หลายที่ด้วยกันครับ ที่ชัดเจนที่สุดคงจะหนีไม่พ้นลายเส้นนาซกา (Nazca Line) ที่เปรู ซึ่งมีมากมายหลายรูปแบบทั้งลายขดก้นหอย สุนัข แมงมุม ลิง ปลาวาฬ แต่คงไม่มีภาพใดในนาซกาที่จะน่าทึ่งไปกว่าภาพ “นักบินอวกาศ” อีกแล้ว!!

ภาพลายเส้นนักบินอวกาศนี้มีความสูงกว่า 30 เมตร เมื่อมองลงมาจากมุมสูงก็จะเห็นเป็นภาพของมนุษย์ศีรษะกลมเกลี้ยง ดวงตาใหญ่ กำลังยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกประหนึ่งกำลังทักทายใครจากนอกโลก



ลายเส้นนาซกา ต้องมองจากบนฟ้าจึงจะเห็นเป็นภาพ


แต่ภาพลายเส้นที่ต้องมองจากบนฟากฟ้าก็ไม่ได้มีเพียงแต่นาซกาที่เดียว ข้ามทวีปจากเปรูมายังอังกฤษกันบ้างก็จะพบว่ามีลายเส้นที่คล้ายคลึงกับนาซกาเช่นกันครับ ภาพที่ว่าได้รับการตั้งชื่ออย่างเสนาะหูว่า “อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์” (Berk-shire White Horse) ซึ่งมีความเก่าแก่ถึงช่วงยุคเหล็กของอังกฤษหรือเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสต์กาลเลยทีเดียวครับ เนินเขาที่อาชาขาวรูปนี้ปรากฏอยู่เป็นเนินหินชอล์ก ซึ่งวิธีการวาดภาพก็เพียงแค่ถอนต้นหญ้าออกจากบริเวณที่ต้องการสร้างลวดลาย เผยให้เห็นหินชอล์กสีขาวด้านล่าง แต่จุดที่สำคัญก็คือประเพณีการถอนหญ้านี้ต้องสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รูปจำหลักยังคงปรากฏอยู่ต่อไป

คนที่รังสรรค์ลายเส้นนาซกาและอาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์คงจะหนีไม่พ้นชนเผ่าพื้นเมืองในบริเวณนั้นๆ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาสร้างรูปเหล่านี้ขึ้นมาให้ใครดูกัน!? ถ้าภาพต่างๆเหล่านี้ มองเห็นได้จากฟากฟ้าเท่านั้น


อาชาขาวแห่งเบิร์คเชียร์ที่มองเห็นได้จากมุมสูงเท่านั้น


ทั้งหมดทั้งมวลที่นำเสนอไป ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนหรือหักล้างทฤษฎีมนุษย์อวกาศโบราณเสียเลยทีเดียวหรอกครับ เพราะยังไม่มีใครทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในสมัยโบราณ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือประเด็นพิศวงต่างๆล้วนเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกเสมือนว่ามีใครสักคนมาสอนให้มนุษย์ทั่วโลกทำในสิ่งเดียวกันยังไง
ยังงั้นก็ไม่แน่นะครับ ใครจะไปรู้ว่าเอกภพอันยิ่งใหญ่ของเราอาจจะเป็นผลลัพธ์ในการทดลองยิงอนุภาคความเร็วเฉียดแสงในห้องทดลองของใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกลก็เป็นได้



ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_5474.html#ixzz2KxP3VRS5 

ผีดูดเลือดตัวเป็นๆ!!ถูกจับได้


ผีดูดเลือด!!! ตัวเป็นๆ ถูกจับได้ พบ ชีวิตสุดรันทด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ชายชาวตุรกีไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่งมีพฤติกรรมเหมือน ‘ผีดูดเลือด’ หรือ ‘แวมไพร์’ โดยดื่มเลือดของตัวเองจนติด จากนั้นออกล่าเหยื่อโดยแทงคนอื่นเป็นแผลเพื่อดื่มเลือด
แพทย์ในตุรกีเปิดเผยถึงพฤติกรรมของชายคนนี้ว่า เขากลายเป็น ‘แวมไพร์’ เพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทั้งจากการสูญเสียลูกสาววัย 4 เดือน และเห็นการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตา
รายงานจากวารสารจิตบำบัดระบุว่าเขาเริ่มดื่มเลือดมนุษย์ โดยใช้มีดโกนกรีดที่แขน หน้าอกและท้อง แล้วใช้ถ้วยรองเลือดเพื่อดื่มจนติดการดื่มเลือด
จนบางครั้งต้องให้พ่อไปซื้อมาจากธนาคารเลือดแล้วนำมาดื่ม แล้วพัฒนาไปถึงขั้นใช้มีดแทงหรือกัดคนอื่นเพื่อดื่มเลือด
นอกจากนี้รายงานยังระบุว่าเขามีหลายบุคลิกและมีอาการความจำเสื่อม โดยเฉพาะขณะจู่โจมเหยื่อ เขาจะไม่มีสติคิดว่าเขากำลังทำอะไรและเหยื่อเป็นใคร และจำเหตุการณ์ตอนที่ทำร้ายเหยื่อไม่ได้
แพทย์ผู้วิจัยเรื่องนี้เชื่อว่า พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากการเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เพื่อนคนหนึ่งของเขาฆ่าผู้อื่นโดยตัดศีรษะและอวัยะเพศ และความเศร้าโศกจากการเสียชีวิตของลูกสาววัย 4 เดือน รวมถึงลุงของเขาที่ถูกฆาตกรรมด้วย
คณะแพทย์จากโรงพยาบาลทหารทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกีวินิจฉัยว่า ชายคนนี้เป็นโรค ′อาการป่วยทางจิตเนื่องจากการประสบกับการทารุณ (โดยมากเป็นการทารุณทางเพศ)′หรือ ′dissociative identity disorder ′ (DID)
และเพื่อต้องการหนีจากความเจ็บปวดที่เกิดกับจิตใจ ผู้ป่วยจึงเกิดการแบ่งแยกบุคลิกและสูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวในแงอุปนิสัย นอกจากนี้ยังเป็นโรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
จากการศึกษาค้นคว้าแพทย์ระบุว่าชายคนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยรายแรกที่ป่วยเป็นโรค ‘ผีดูดเลือด’ (vampirism) และ DID ซึ่งโรค DID มักจะเชื่อมโยงไปถึงการถูกการละเมิดและการถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก
แม่ของชายผู้ป่วยเป็นโรคผีดูดเลือดเปิดเผยว่าลูกชายเคยถูกล่วงละเมิดเมื่อตอนวัยรุ่น แต่เขากลับบอกว่าเขาจำอะไรในวัยเด็กระหว่างอายุ 5- 11ปีไม่ได้เลย และบอกว่าเขาถูกเพื่อนในจินตนาการบังคับให้เขาต้องก่อเหตุรุนแรงและพยายามฆ่าตัวตาย
หลังจากการรักษา 6 สัปดาห์ แพทย์กล่าวว่าเขามีอาการดีขึ้นแต่อาการป่วยทางจิตยังคงมีอยู่ และยาที่ให้ก็มีเพียงยานอนหลับเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้ช่วยรักษาอาการของเขา
นอกจากนี้ยังกล่าวว่าการดื่มเลือดไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย เพียงแต่ร่างกายมนุษย์จะปรับตัวในการย่อยเลือดมนุษย์ได้ไม่ดีนัก และการดื่มเลือดมนุษย์ในปริมาณน้อยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
แต่ถ้าดื่มบ่อยๆ จะมีความเสี่ยงที่จะเป็น ‘โรคธาตุเหล็กเกิน’ (haemochromatosis) หรืออาจติดโรค เช่น เอดส์จากเลือดของคนที่มีเชื้อได้

ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_10.html#ixzz2KsqSZgb0

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สร้างตึกบนพระจันทร์ด้วยดินธรรมชาติ



สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ผู้ออกแบบสนามฟุตบอลเวมบลี่ย์ ได้ออกแบบอาคาร ซึ่งจะไปก่อสร้างขึ้นบนดวงจันทร์โดยจะสร้างด้วยวัสดุที่มีอยู่บนนั้น
ตามแผนการ โครงของอาคารซึ่งเป่าให้พองขึ้นได้ จะถูกส่งขึ้นไปจากโลก จากนั้นจะหุ้มด้วยผนังที่จะสร้างขึ้นโดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งจะทำงานด้วยระบบหุ่นยนต์ จะใช้ดินและหินของดวงจันทร์เป็นวัตถุดิบ
ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยรัฐวอชิงตัน เคยศึกษาเมื่อปี พ.ศ.2553 พบว่า หินของดวงจันทร์ ประกอบด้วยอะลูมิเนียม แคลเซียม เหล็ก และแมกนีเซียมออกไซด์ ซึ่งสามารถจะนำมาเป็นวัตถุดิบ ของเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติได้
ก่อนหน้านี้ บริษัทอุตสาหกรรมจักรวาลอันไกลโพ้นของสหรัฐฯ ประกาศเมื่ออาทิตย์ก่อนว่า มีแผนการจะไปขุดแร่ธาตุจากดาวเคราะห์น้อย โดยจะสร้างยานอวกาศสำรวจด้วยเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติ บริษัทได้สั่งสร้างเครื่องพิมพ์แบบ 3 มิติขึ้นแล้ว คิดว่าจะลงมือผลิตได้ใน พ.ศ.2563 นี้.


ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/02/blog-post_13.html#ixzz2Ksliy4iZ 

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

จีนหนาวจัด น้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง

สภาพอากาศที่หนาวเย็นในจีน ทำให้บางพื้นที่เกิดพายุหิมะตกหนัก เป็นอุปสรรคต่อเที่ยวบินนับร้อยเที่ยว อุณหภูมิที่ติดลบทำให้แหล่งน้ำกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง


อย่างเช่น บริเวณหุบเขาจุ้ยซาย ในเขตจิ่วไจ้โกว  มณฑลเสฉวน สายน้ำที่ตกจากโขดหินถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง   ก่อตัวเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งคาดว่า ต้องรอจนถึงปลายเดือนมีนาคม หรือ ต้นเดือนเมษายน กว่าน้ำแข็งจะละลาย และน้ำตกจะกลับมางดงามได้เหมือนเดิม



ทั้งนี้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาจีน ระบุว่า อุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงติดลบ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากแนวความหนาวเย็นจากขั้วโลกเหนือเคลื่อนตัวลงมาทางใต้  จึงทำให้บางพื้นที่ หนาวที่สุดในรอบหลายๆปีทีเดียว





ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_21.html#ixzz2J42yWyGU
ขอบคุณครับที่ใส่เครดิต

พบวัตถุลึกลับบินโผล่เหนือผิวดวงจันทร์





สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มนุษย์กำลังค้นหาว่า บนดวงจันทร์ หรือดาวอื่นๆ นั้นประกอบไปด้วยแหล่งน้ำ และสิ่งมีชีวิตที่จะเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีพหรือไม่

คลิปวีดิโอที่อัพโหลดโดยผู้ใช้ที่ชื่อว่า danchek2013 ในเว็บไซต์ยูทูป อ้างว่า พบวัตถุลึกลับบินเหนือบริเวณพื้นผิวดวงจันทร์  โดยยานดังกล่าวปรากฏจากเงามืดก่อนจะเห็นเคลื่อนที่อย่างชัดเจน ด้วยการเร่งความเร็วพร้อมกับเปลี่ยนทิศทางอย่างกระทันหัน นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นกลุ่มควัน คล้ายกับเครื่องบิน แต่ไม่สามารถระบุแน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่



บ้างก็ว่าเป็นนก ดาวหาง หรือยานจากดาวอื่นๆ เพราะการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนทิศทางกระทันหันเช่นนี้ ไม่น่าจะใช่ยานของมวลมนุษย์ หรือสัตว์สิ่งมีชีวิต และบางส่วนก็มองว่า เป็นการสร้างคอมพิวเตอร์กราฟิกขึ้นมาเท่านั้น












ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/blog-post_537.html#ixzz2J41Uq3wi

อีก12ปีข้างหน้าได้ "ฮัลโหล"กับมนุษย์ต่างดาวแน่



ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจานบินชั้นนำประกาศว่า จะคอยให้มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุ ยักษ์ที่สุดเสร็จลงภายในเวลา 12 ปีเสียก่อน มนุษย์ก็จะได้พบปะหน้าค่าตามนุษย์ต่างดาวกันอย่างแน่นอน

เขาบอกว่า ขณะนี้กำลังจะมีการสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดยักษ์มูลค่า 6.5 พันล้านบาท หากเสร็จเมื่อใด ก็จะสามารถตอบปัญหาที่ชาวโลกอยากรู้ อย่างเช่นว่า มีมนุษย์ต่างดาวอยู่หรือไม่ เพราะกล้องยักษ์นี้จะช่วยเปิดหนทางใหม่และน่าตื่นเต้นให้ “เชื่อว่าจะต้องได้พบปะเห็นกันแน่ภายในปี พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นกำหนดที่กล้องโทรทรรศน์ยักษ์แล้วเสร็จ”

โดยจะลงมือสร้างกล้องในปี พ.ศ.2559 นี้ ประกอบด้วยจาน เสาอากาศเรือนพันต้นตั้งอยู่ในพื้นที่กว้าง 4,921 ตร.กม.ของท้องถิ่นกันดารของออสเตรเลีย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันจะสามารถทำให้มองเห็นจักรวาลได้ไกลลึกเข้าไปอย่างที่กล้อง โทรทรรศน์ธรรมดาไม่อาจทำได้ อย่างเช่นมีกำลังขยายถึง 50 เท่า และกวาดมองฟ้าได้เร็วขึ้นกว่ากล้องโทรทรรศน์ต่างๆถึง 10,000 เท่า “ถ้าหากมีอารยธรรมอยู่ภายในระยะไกลไม่เกิน 100 ปีแสง จะต้องพานพบจนได้”.





ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/12.html#ixzz2J40gWpfm

ค้นพบสิ่งมีชีวิตนอกโลก ในอุกาบาต





10 มกราคม 2013 นักวิทยาศาสตร์ Chandra Wickramasinghe ออกมาเปิดเผยข้อมูล ในวารสารจักรวาลวิทยา (Journal of Cosmology)


จากอุกกาบาตที่ตกเมื่อ 29 เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็นหลักฐานยืนยันอีกชิ้นของสิ่งมีชีวิตต่างดาว




Chandra Wickramasinghe




ก่อนหน้านี้เดือนธันวาคม มีลูกไฟลึกลับ ปรากฏบนท้องฟ้าาเหนือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่เมืองธนามัลวิลา
หลายคนเชื่อว่า แสงประหลาดที่พบเห็นอยู่บนท้องฟ้าอาจเป็นวัตถุบินของสิ่งมีชีวิตนอกโลก (UFO)




ศรีลังกาแตกตื่น! พบแสงปริศนาบนท้องฟ้า เชื่อเป็น UFO








 ที่มาhttp://allmysteryworld.blogspot.com/2013/01/polonnaruwa.html#ixzz2J3zcct1E